เจ็บนิ้วมือ ไม่มีสาเหตุ เป็นสัญญาณของโรคร้ายหรือเปล่า?
“เจ็บนิ้วมือ ไม่มีสาเหตุ” เชื่อว่าหลาย ๆ คนกำลังพบเจอกับปัญหานี้อยู่ และอาจกำลังมองข้ามอาการนี้อยู่ โดยสาเหตุอาจเป็นเพราะว่าอาการนี้ หากมองเผิน ๆ อาจดูไม่ได้มีอันตรายอะไร แต่แท้จริงแล้วอาการนี้อาจเป็นภาวะเบื้องต้นของภัยเงียบก็ได้เช่นกัน ซึ่งการที่เราจะทราบวิธีแก้ไขหรือรักษาที่ถูกต้องได้นั้น เราก็ต้องทราบถึงสาเหตุของภาวะของโรคเสียก่อน แต่เมื่อภาวะนี้ได้ชื่อว่าเป็นอาการที่ไม่ทราบสาเหตุ เราจะรู้ได้อย่างไรว่าเราควรทำอะไรบ้าง ในบทความนี้ Newton Em Clinic มีคำตอบมาฝากเพื่อคลายข้อสงสัยให้กับผู้อ่านทุกคน
“เจ็บนิ้วมือ ไม่มีสาเหตุ” อาการเล็ก ๆ ที่ไม่ควรมองข้าม
ปวดข้อนิ้วมือ เป็นอาการที่มักเกิดขึ้นจากการบาดเจ็บหรือเป็นสัญญาณของโรค โดยเฉพาะโรคข้อเสื่อม นอกจากอาการปวดแล้ว บางครั้งอาจมีอาการบวม เป็นเหน็บ หรือชาตามนิ้วเกิดขึ้นร่วมด้วย ผู้ที่มีอาการปวดไม่รุนแรงอาจรักษาได้ด้วยตนเอง แต่หากมีอาการปวดนิ้วเรื้อรังควรไปพบแพทย์เพื่อรับการรักษาอย่างถูกต้อง
อาการปวดนิ้วอาจพบได้บ่อยในผู้ที่เล่นกีฬาหรือออกกำลังกายเป็นประจำ รวมทั้งการทำงานที่ต้องเคลื่อนไหวมือหรือนิ้วมือซ้ำ ๆ ดังนั้น การสวมอุปกรณ์ป้องกันนิ้วมืออาจช่วยลดความเสี่ยงในเบื้องต้นได้ แต่ผู้ที่อาการปวดมาจากโรค ควรปรึกษาแพทย์ เพื่อหาโรคที่ต้นเหตุและทำการรักษาที่ถูกต้อง
เจ็บนิ้วมือ ไม่ทราบสาเหตุ คืออะไร?
อาการนี้หมายถึงการปวดบริเวณนิ้วมือโดยไม่มีประวัติการบาดเจ็บชัดเจน เช่น หกล้ม การกระแทก หรือใช้งานหนักเกินไป อาจรู้สึกปวดเมื่อใช้งานนิ้วมือ หรือแม้แต่ขณะพัก บางครั้งอาจมีอาการบวม แดง หรือชาเกิดร่วมด้วย
ปัจจัยเสี่ยงที่อาจทำให้เกิดอาการเจ็บนิ้วมือ มีอะไรบ้าง?
แม้จะได้ชื่อว่าเป็นอาการที่มักเกิดขึ้นโดยไม่ทราบสาเหตุ แต่เราก็พอจะสามารถคาดเดาการเกิดอาการเจ็บได้จากปัจจัยต่าง ๆ ดังนี้..
1.การใช้งานมือหนักหรือผิดท่า
- การทำกิจกรรมที่ใช้นิ้วมือซ้ำ ๆ เป็นเวลานาน เช่น การพิมพ์งาน การจับเครื่องมือช่าง หรือการเล่นโทรศัพท์มือถือโดยไม่มีการพัก อาจทำให้เกิดแรงกดและความตึงเครียดบริเวณข้อต่อและกล้ามเนื้อ
- การใช้งานที่ผิดท่า เช่น การจับของหนักด้วยนิ้วมือในลักษณะที่ไม่เหมาะสม อาจเพิ่มแรงกดบนเส้นเอ็นและข้อต่อ ทำให้เกิดการอักเสบตามมา
2.การอักเสบของเส้นเอ็นและกล้ามเนื้อ
- อาการเส้นเอ็นอักเสบ (Tendonitis) มักเกิดจากการใช้งานที่ทำซ้ำ ๆ หรือใช้งานอย่างหนักเกินไป เช่น การพิมพ์คอมพิวเตอร์ การเล่นกีฬา หรือการทำงานที่ต้องใช้มืออย่างต่อเนื่อง
อาการนี้อาจส่งผลให้เกิดความเจ็บปวดเฉพาะจุด และบางครั้งอาจรู้สึกถึงเส้นเอ็นที่หนาขึ้นหรือขยับได้ไม่สะดวก
3.โรคข้อหรือกระดูก
- โรคเกาต์ (Gout): เป็นภาวะที่เกิดจากการสะสมของกรดยูริกในข้อ โดยมักเริ่มแสดงอาการที่ข้อต่อเล็ก ๆ เช่น นิ้วมือ ทำให้เกิดอาการปวดเฉียบพลันและบวมได้
โรคข้อเสื่อม (Osteoarthritis): มักเกิดจากความเสื่อมของกระดูกอ่อนบริเวณข้อ ทำให้ข้อต่อเสียดสีกัน เกิดอาการปวด บวม และเคลื่อนไหวลำบาก
ระบบภูมิคุ้มกัน - โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ (Rheumatoid Arthritis): เป็นโรคแพ้ภูมิตัวเองที่ทำให้ระบบภูมิคุ้มกันโจมตีข้อต่อ เกิดอาการอักเสบเรื้อรัง ปวด บวม และนิ้วอาจผิดรูปได้หากไม่ได้รับการรักษา
โรค SLE (Systemic Lupus Erythematosus): เป็นโรคแพ้ภูมิตัวเองอีกชนิดหนึ่งที่อาจส่งผลต่อข้อต่อ ทำให้เกิดอาการปวดตามนิ้วมือร่วมกับอาการในส่วนอื่นของร่างกาย เช่น ผื่นผิวหนัง ไข้ และอ่อนเพลีย
4.ปัจจัยด้านอายุ
- การเสื่อมของข้อต่อและกระดูกตามวัยเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดความเจ็บปวด โดยเฉพาะในผู้สูงอายุ ข้อต่ออาจสูญเสียความยืดหยุ่น กระดูกอ่อนสึกกร่อน และเกิดการอักเสบได้ง่าย
การติดเชื้อ - การติดเชื้อที่ผิวหนังบริเวณนิ้วมือ เช่น การติดเชื้อแบคทีเรีย หรือการมีแผลเล็ก ๆ ที่ไม่ได้รับการดูแล อาจลุกลามไปยังข้อต่อ (Septic Arthritis)
การติดเชื้อในข้อต่อโดยตรงอาจทำให้เกิดอาการปวดรุนแรง บวม แดงร้อน และเคลื่อนไหวไม่ได้
4.ระบบภูมิคุ้มกัน
- โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ (Rheumatoid Arthritis): เป็นโรคแพ้ภูมิตัวเองที่ทำให้ระบบภูมิคุ้มกันโจมตีข้อต่อ เกิดอาการอักเสบเรื้อรัง ปวด บวม และนิ้วอาจผิดรูปได้หากไม่ได้รับการรักษา
- โรค SLE (Systemic Lupus Erythematosus): เป็นโรคแพ้ภูมิตัวเองอีกชนิดหนึ่งที่อาจส่งผลต่อข้อต่อ ทำให้เกิดอาการปวดตามนิ้วมือร่วมกับอาการในส่วนอื่นของร่างกาย เช่น ผื่นผิวหนัง ไข้ และอ่อนเพลีย
5.ปัจจัยด้านอายุ
- การเสื่อมของข้อต่อและกระดูกตามวัยเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดความเจ็บปวด โดยเฉพาะในผู้สูงอายุ ข้อต่ออาจสูญเสียความยืดหยุ่น กระดูกอ่อนสึกกร่อน และเกิดการอักเสบได้ง่าย
6.การติดเชื้อ
- การติดเชื้อที่ผิวหนังบริเวณนิ้วมือ เช่น การติดเชื้อแบคทีเรีย หรือการมีแผลเล็ก ๆ ที่ไม่ได้รับการดูแล อาจลุกลามไปยังข้อต่อ (Septic Arthritis)
- การติดเชื้อในข้อต่อโดยตรงอาจทำให้เกิดอาการปวดรุนแรง บวม แดงร้อน และเคลื่อนไหวไม่ได้
7.ปัจจัยอื่น ๆ
- การขาดสารอาหาร: เช่น การขาดวิตามิน D หรือแคลเซียม ซึ่งอาจทำให้กระดูกและข้อต่ออ่อนแอ
- ความเครียดและการพักผ่อนไม่เพียงพอ: ส่งผลต่อการฟื้นฟูและการอักเสบของร่างกาย
โดยสรุป จากที่กล่าวไว้ข้างต้นว่า แม้จะเป็นอาการที่ได้ชื่อว่าไม่ทราบสาเหตุ แต่จากข้อมูลต่าง ๆ ที่กล่าวมาทั้งหมด ทุกคนจะสามารถเห็นได้แล้วว่ามีปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดภาวะเจ็บนิ้วมือได้หลายประการทีเดียว ไม่ว่าจะเป็น การที่อาจเกิดมาจากการใช้งานมืออย่างหนัก การอักเสบของเส้นเอ็นหรือข้อต่อ โรคที่เกี่ยวข้องกับภูมิคุ้มกัน หรือแม้กระทั่งการเสื่อมตามวัย ซึ่งแต่ละปัจจัยอาจส่งผลกระทบต่อความรุนแรงของอาการแตกต่างกัน การป้องกันที่สำคัญคือการลดพฤติกรรมเสี่ยง เช่น หลีกเลี่ยงการใช้งานนิ้วมือซ้ำ ๆ โดยไม่มีการพัก ดังนั้น การดูแลตนเอง เช่น การควบควมอาการโรคประจำตัวอย่างเหมาะสม และใส่ใจสุขภาพโดยรวมจึงเป็นเรื่องจำเป็น ทั้งนี้ หากอาการไม่ดีขึ้นหรือมีความผิดปกติที่น่าสงสัย ควรปรึกษาแพทย์เพื่อรับการวินิจฉัยและรักษาอย่างถูกต้องต่อไป
ใครมีความเสี่ยงจะเป็นโรคนี้?
- ผู้ที่มีอายุมากกว่า 40 ปี
- ผู้ที่ทำงานหรือกิจกรรมที่ใช้งานมือซ้ำ ๆ เช่น นักดนตรี นักเขียน หรือคนที่พิมพ์งานเป็นเวลานาน
- ผู้ที่มีโรคประจำตัว เช่น โรคเกาต์ โรคเบาหวาน หรือโรคเกี่ยวกับภูมิคุ้มกัน
- ผู้ที่เคยได้รับบาดเจ็บที่มือหรือข้อมือ
ปวดนิ้วมือ ไม่รู้สาเหตุ อันตรายไหม?
หลายคนอาจสงสัยว่าอาการเจ็บนิ้วมือที่ไม่มีสาเหตุจะเป็นอันตรายหรือไม่ ในกรณีทั่วไป อาการนี้มักไม่ถือว่าอันตรายและสามารถเกิดขึ้นได้จากการใช้งานนิ้วมือมากเกินไป เช่น การพิมพ์งานเป็นเวลานาน การใช้คอมพิวเตอร์ หรือการจับสิ่งของหนักๆ หรือทำกิจกรรมซ้ำๆ ซึ่งสามารถทำให้เกิดการตึงเครียดหรืออักเสบเล็กน้อยของกล้ามเนื้อและเส้นเอ็นได้ นอกจากนี้ ยังอาจเกิดจากภาวะการอักเสบของเส้นเอ็นที่ไม่รุนแรง (เช่น Tendonitis) ซึ่งอาการเหล่านี้มักหายไปได้เองเมื่อพักการใช้งานหรือดูแลรักษาตามปกติ
อย่างไรก็ตาม หากอาการปวดรุนแรงขึ้น หรือเกิดร่วมกับอาการอื่นๆ เช่น บวม แดงร้อน หรือขยับไม่ได้ หรือหากมีไข้ร่วมด้วย อาการเหล่านี้อาจบ่งชี้ถึงปัญหาที่ซับซ้อนมากขึ้น เช่น โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ (Rheumatoid Arthritis) หรืออาจเกิดจากการติดเชื้อที่ข้อ (Septic Arthritis) ซึ่งจำเป็นต้องได้รับการดูแลจากแพทย์อย่างเร่งด่วน หากอาการไม่ดีขึ้นหรือทวีความรุนแรง ควรรีบปรึกษาแพทย์เพื่อหาสาเหตุที่แท้จริงและรับการรักษาที่เหมาะสม
การรักษาอาการปวดข้อนิ้วมือ มีอะไรบ้าง?
การรักษาอาการปวดข้อนิ้วมือมุ่งเน้นไปที่การรักษาสาเหตุ ไม่ว่าจะเป็นโรคหรือการบาดเจ็บ โดยอาการปวดแบบไม่รุนแรงหรือชั่วคราวอาจบรรเทาอาการได้ด้วยตนเองที่บ้าน แต่หากมีอาการปวดรุนแรง ต่อเนื่อง หรือมีอาการอื่น ๆ เพิ่มเติม ควรไปพบแพทย์ โดยวิธีรักษาอาจทำได้ ดังนี้
การรักษาด้วยตนเอง
อาการปวดนิ้วมือแบบชั่วคราวอาจบรรเทาได้ด้วยการดูแลหรือรักษาด้วยตนเอง เบื้องต้นควรหลีกเลี่ยงกิจกรรมที่ทำให้เกิดอาการปวด อย่างการเล่นกีฬาหรือยกของหนัก สำหรับผู้ที่สวมแหวนควรถอดแหวนออก หากมีอาการปวดบวมร่วมด้วยอาจใช้การประคบนิ้วมือหรือแปะแผ่นบรรเทาปวด
การรักษาด้วยวิธีทางการแพทย์
เมื่อไปพบแพทย์ แพทย์อาจสั่งจ่ายยาแก้อักเสบชนิดไม่มีสเตียรอยด์เพื่อบรรเทาอาการปวด สำหรับกรณีที่ทราบสาเหตุแน่ชัด แพทย์อาจใช้วิธีการรักษาที่แตกต่างกัน เช่น อาการปวดที่เกิดจากการบาดเจ็บอย่างนิ้วซ้น แพทย์อาจให้ผู้ป่วยสวมอุปกรณ์ดามนิ้ว สำหรับผู้ที่มีโรคที่เกี่ยวกับข้อโดยตรงอย่างโรคข้ออักเสบ แพทย์อาจรักษาด้วยยาแก้อักเสบ กายภาพบำบัด หรือทำการผ่าตัด ซึ่งขึ้นอยู่กับความรุนแรงและชนิดของโรค นอกจากนี้ ผู้ที่มีอาการปวดข้อนิ้วมือจากปัญหาสุขภาพอื่น ๆ ควรปรึกษาแพทย์และรักษาโรคที่เป็นต้นเหตุควบคู่ไปกับการบรรเทาอาการปวดด้วยวิธีต่าง ๆ
ท่ากายบริหาร บรรเทาอาการปวดข้อที่นิ้ว
ผู้ที่มีปัญหาปวดข้อ ปวดนิ้ว สามารถทำตามท่ากายบริหารตามได้ง่าย ๆ ดังนี้
ท่าบิดข้อมือ
- กำมือในท่ากดไลค์และวางมือบนโต๊ะ
- บิดข้อมือให้นิ้วเอนเข้าหาตัว ทำค้างไว้ 2-3 วินาที แล้วค่อยๆ คลายออก
- ทำซ้ำ 10 ครั้งกับมือทั้ง 2 ข้าง
ท่าเอนข้อมือไปด้านข้าง
- คว่ำมือลงบนโต๊ะ ข้อมือเหยียดตรง
- พยายามออกแรงที่ข้อมือให้บิดไปทางขวาให้ได้มากที่สุด ค้างไว้ 2-3 วินาที แล้วกลับมาตรงกลางตามเดิม
- จากนั้นออกแรงบิดไปทางซ้าย และกลับมาตรงกลาง
- ทำซ้ำ 10 ครั้งกับมือทั้ง 2 ข้าง
ท่ายืดนิ้ว
- วางมือคว่ำราบกับโต๊ะ
- ใช้มืออีกข้างค่อย ๆ ยกนิ้วที่มีอาการขึ้นมาให้สูงที่สุด โดยที่นิ้วอื่น ๆ ยังคงวางแนบโต๊ะ และนิ้วที่ถูกยกไม่รู้สึกตึงหรือเจ็บเกินไป
- ดึงค้างไว้ 2-3 วินาทีแล้วปล่อย
- ทำซ้ำ 5 ครั้งกับมือทั้ง 2 ข้าง วันละ 3 เซ็ต
- สามารถทำกับทุกนิ้วที่เหลือได้เช่นกัน แม้จะไม่มีอาการนิ้วล็อค
ท่างอนิ้ว
- แบมือ งอนิ้วโป้งเข้าหาฝ่ามือและพยายามเอื้อมไปแตะปลายนิ้วชี้ให้ได้มากที่สุด
- ทำค้างไว้ 10 วินาที และทำซ้ำกับนิ้วอื่นๆ ตลอดวัน วันละ 3-4 ครั้ง
ท่าบีบมือ
- วางลูกบอลเล็กๆ หรือสิ่งของที่กำได้กลางฝ่ามือ
- ออกแรงบีบให้แน่น แล้วค่อย ๆ คลายมือออก
- ทำซ้ำ 2-3 ครั้ง วันละ 2-3 เซ็ต โดยอาจเปลี่ยนวัตถุที่ใช้กำไปเรื่อย ๆ
อย่างไรก็ตาม นอกจากวิธีบรรเทาอาการด้วยท่ายืดนิ้วมือที่ควรทำเป็นประจำ การหยุดให้มือและนิ้วมือได้พักเมื่อเริ่มรู้สึกตึงหรือปวดก็เป็นอีกสิ่งที่ไม่ควรละเลย ไม่เช่นนั้นอาจตามมาด้วยอาการที่รุนแรงขึ้น เช่น นิ้วติด นิ้วฝืด งอหรือเหยียดนิ้วไม่ได้ ชาหรือปวดในข้อนิ้ว เป็นต้น
หากสังเกตอาการเหล่านี้ ควรรีบมาพบแพทย์ทันที โดยการรักษานั้นจะขึ้นอยู่กับอาการและความรุนแรง และอาจมีการรักษาและบำบัดหลายวิธีร่วมกันไป เช่น การพักการใช้งาน การใส่เฝือกนิ้ว การทำท่ายืดนิ้วมือ รวมถึงการให้ยาแก้อักเสบเพื่อช่วยบรรเทาอาการ
ท้ายที่สุด อาการปวดข้อนิ้วมือเป็นอาการที่พบได้บ่อย ๆ ในทุกเพศทุกวัย และมีสาเหตุที่ทำให้เกิดอาการปวดข้อนิ้วมือมากมายไม่ว่าจะเกิดจากการใช้งานหนักเกินไป การเกิดอุบัติเหตุ หรือเกิดจากโรค เพราะสาเหตุที่ทำให้เกิดอาการปวดข้อนิ้วมือมีมากมาย เพื่อให้การวินิจฉัยและการรักษาโรคเป็นไปอย่างถูกต้องควรเข้าปรึกษาแพทย์จะดีที่สุด
——————————–
ข้อควรระวัง: เนื้อหาในบทความ วิดีโอ ข้อความคิดเห็น มีจุดประสงค์เพื่อให้ความรู้ และสาธิตให้ดูเป็นตัวอย่างเท่านั้น ไม่ได้มีความตั้งใจจัดทำขึ้นเพื่อทดแทนการเข้ารับการตรวจ วิเคราะห์ และการวางแผนการรักษาของผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์ ผู้เข้าชมไม่ควรวินิจฉัย หรือ คาดเดาโรคด้วยตัวเองจากการอ่านบทความ ข้อคิดเห็น หรือ ดูวิดีโอ นี้ คนไข้ควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์ของตนเองเพื่อทราบสาเหตุที่แท้จริงของอาการปวด และเพื่อหลีกเลี่ยงการปวดที่อาจเกิดเพิ่มมากขึ้นในภายหลัง
บทความที่น่าสนใจ
- “ปวดหลังเรื้อรัง” พฤติกรรมที่ทำให้คุณปวดหลังแบบไม่รู้ตัว
- “โรคกระดูกสันหลัง” 4 โรคที่ควรระวังปล่อยไว้อาจส่งผลเสีย
- กระดูกสันหลังคด กายภาพ บำบัดหายไหม มีขั้นตอนยังไง?