คอ บ่า ไหล่ สัญญาณอันตรายยอดฮิตของมนุษย์เงินเดือน
คอ บ่า ไหล่ เป็นอาการที่สามารถเกิดขึ้นได้กับคนทุกเพศทุกวัย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุคปัจจุบันที่เราใช้โทรศัพท์มือถือ แท็บเล็ต คอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊กกันเป็นเวลานาน และไม่ได้เปลี่ยนอิริยาบถ ก็จะยิ่งทำให้มีอาการปวดคอ บ่า ไหล่ เพิ่มมากขึ้น
คอ บ่า ไหล่ อาการปวดกล้ามเนื้อบริเวณนี้เกิดจากอะไร ทำอย่างไรจึงหาย?
พฤติกรรมชวนปวดคอ บ่า ไหล่ ที่พบเห็นได้ทั่วไป อย่างเช่น การนอนคว่ำเป็นประจำ นอนหมอนสูงเกินไป การสะบัดคอ สะบัดผม การใช้งานคอกับไหล่เป็นเวลานานเกินไป เช่น การใช้คอกับบ่าหนีบโทรศัพท์ หรือเล่นเครื่องดนตรีที่ต้องใช้บ่าหรือคอ การทำงานหน้าคอมพิวเตอร์ด้วยท่าทางไม่เหมาะสม หรืองานที่ต้องเกร็งไหล่ทั้งสองข้าง อยู่ในอิริยาบถของคองุ้ม ไหล่งุ้ม ไม่ถูกสุขลักษณะ เป็นต้น พฤติกรรมเหล่านี้ ถ้าสะสมระยะเวลานานๆ โดยไม่แก้ไขนั้น จะทำให้เกิดอาการปวด และอาจเกิดโรคที่มีความรุนแรงมากขึ้นตามมา
สาเหตุของอาการปวดคอ บ่า ไหล่หลักๆ ดังนี้ คือ
- การใช้กล้ามเนื้อคอ บ่า ไหล่มากเกินไป โดยไม่ได้มีการเปลี่ยนท่าทางเลย การอยู่ในท่าเดิมซ้ำ ๆ เป็นเวลานานๆ ตลอดทั้งวัน
- การใช้ท่าทางที่ผิด ซึ่งโดยปกติแล้ว ร่างกายไม่ได้ออกแบบมาเพื่อให้ใช้กล้ามเนื้อมัดนั้นๆ ในการหิ้ว หรือยกอะไรที่หนักเกินไป เช่น การใช้โทรศัพท์มือถือมือเดียว ใช้โทรศัพท์มือถือมากเกินไป เป็นต้น
ปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดอาการปวด คอ บ่า ไหล่
ปัจจัยสำคัญคือปัจจัยทางสิ่งแวดล้อม กล่าวคือ ลักษณะการทำงานที่ไม่เหมาะสม เช่น เก้าอี้อยู่เตี้ยเกินไป โต๊ะอยู่สูงเกินไป ทำให้ผู้ใช้ต้องกางไหล่ เมื่อกางไหล่มากเกินไป กล้ามเนื้อใช้ก็จะเกิดการอักเสบ ส่งผลให้มีอาการปวดบริเวณบ่า การก้มที่มากเกินไป อย่างอาชีพนักประชาสัมพันธ์ที่ต้องก้มมองจอมอนิเตอร์ที่พื้น หรือบางกรณีที่ต้องมองจอมอนิเตอร์ที่แขวนอยู่บนผนัง ก็เป็นการใช้กล้ามเนื้อคอที่มากเกินไป การใช้กล้ามเนื้อที่มากเกินไป ทำให้กล้ามเนื้อเกิดการหด เกร็งตัว และกลายเป็นก้อนเกร็งของมัดกล้ามเนื้อ อาการปวดคอ บ่า ไหล่ในคนกลุ่มนี้ก็จะรักษาไม่หายขาด คนไข้จะมีอาการจะเป็น ๆ หายๆ
และสุดท้ายคนไข้ก็จะมาด้วยอาการปวดเรื้อรัง ซึ่งจะมีผลต่อภาวะจิตใจด้วย ทำให้หงุดหงิด นอนไม่หลับ มีปัญหาความเครียดและความกังวลตามมา นอกจากนี้ ในคนที่มีอาการปวดและร้าว หรือมีอาการชาลงแขน คนไข้กลุ่มนี้จำเป็นจะต้องรีบมาพบแพทย์โดยด่วน เพราะอาจเป็นสัญญาณของโรคร้ายอื่นๆ ตามมา เช่น หมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท กล้ามเนื้ออ่อนแรง ดังนั้น ถ้าใครที่มีอาการกระดกข้อมือไม่ได้ จากที่เคยเซ็นชื่อได้กลับเซ็นไม่ได้ มืออ่อนแรง ควรรีบมาพบแพทย์ เพื่อหาสาเหตุและรักษาต่อไป
อาการปวดคอ บ่า ไหล่ แบ่งได้เป็น 3 กลุ่มใหญ่ คือ
กลุ่มอาการทั่วไป
สาเหตุเกี่ยวข้องกับระบบกล้ามเนื้อ และเส้นเอ็น (คิดเป็นร้อยละ 80) เกิดจากกล้ามเนื้อมีความเมื่อยล้าจากการใช้งานต่อเนื่องเป็นเวลานาน ๆ
กลุ่มอาการกดทับของเส้นประสาท
พบไม่บ่อยมากแต่ลักษณะอาการรุนแรง มีอาการปวดรุนแรง ตึง ร้าวลงแขน หรือมีอาการชาร่วมด้วย
อาการกดทับของไขสันหลัง
รุนแรงที่สุดแต่พบน้อยมาก (ร้อยละ 1-2%)
สาเหตุของอาการปวด แบ่งเป็น 2 กลุ่มใหญ่ ตามลักษณะอาการ
- การปวดแบบเฉียบพลัน หรืออาการกล้ามเนื้อยอก เคล็ด อาการที่พบได้บ่อยๆ เช่น นอนตกหมอน ลักษณะของอาการคือกล้ามเนื้อมีการตึง เกร็ง หันคอได้ลำบาก เป็นต้น
- ปวดแบบกึ่งเฉียบพลัน หรือกลุ่มเรื้อรัง เป็นกลุ่มคนไข้ที่มีประวัติของอาการปวดคอ ปวดกล้ามเนื้อมาก่อน ลักษณะของอาการเกิดขึ้นแบบเป็นๆ หายๆ เกิดขึ้นได้เมื่อมีการใช้งานกล้ามเนื้ออย่างหนักเป็นเวลานานๆ ความแข็งแรงของกล้ามเนื้อที่ไม่เพียงพอ ทำให้กลับมาเป็นได้อีก พบมากในกลุ่มพนักงานออฟฟิศ
วิธีรักษาอาการปวดคอ บ่า ไหล่ โดยแพทย์เวชศาสตร์ฟื้นฟู
แพทย์เวชศาสตร์ฟื้นฟู เป็นแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านการรักษาและฟื้นฟูคนไข้ที่มีความผิดปกติด้านโรคระบบประสาท กล้ามเนื้อ กระดูกและข้อ ทั้งยังช่วยฟื้นฟูคุณภาพชีวิตให้กลับมามีชีวิตประจำวันได้ตามปกติ สำหรับอาการปวดคอ บ่า ไหล่ แพทย์เวชศาสตร์ฟื้นฟูจะประเมินว่ากล้ามเนื้อที่มีอาการปวดนั้นเป็นกล้ามเนื้อมัดไหน และจะวางแผนการรักษาแบบใด อย่างเช่น
การรักษาทางกายภาพบำบัด
จะใช้อุปกรณ์ทางกายภาพบำบัดหลายอย่าง เช่น อัลตร้าซาวนด์ ซึ่งเป็นความร้อนลึก, เลเซอร์ที่มีความแรงสูง ช่วยให้รักษาระดับลึกและมีประสิทธิภาพดีขึ้น และการใช้ Shock Wave (คลื่นกระแทก) ในบางกรณี ขึ้นอยู่กับแพทย์ที่จะเลือกเครื่องมือทำกายภาพบำบัดให้เหมาะกับแต่ละบุคคล
การฝังเข็ม
แพทย์เวชศาสตร์ฟื้นฟูจะมีเครื่องมือในการรักษาหลากหลาย เช่นการฝังเข็มแบบตะวันตก ซึ่งเป็นการฝังเข็มเฉพาะที่เพื่อลดอาการปวด
จ่ายยาเพื่อรักษา
หากอาการไม่ดีขึ้น แพทย์จะจ่ายยาหลายกลุ่มทั้งยาที่ลดอาการปวด หรือในบางคนที่มีอาการปวดเรื้อรังก็อาจต้องใช้ยากลุ่มอื่นเพิ่มเข้าไปด้วย ซึ่งเป็นการจ่ายยาตามความเหมาะสมของแต่ละกรณี
ผู้ป่วยแต่ละแบบเหมาะกับการรักษาแบบไหน?
เนื่องจากการรักษาอาการปวดกล้ามเนื้อบริเวณนี้มีหลายวิธี ซึ่งก็สามารถเลือกใช้ได้กับคนไข้ที่มีกลุ่มอาการที่มีความรุนแรงแตกต่างกัน โดยสามารถแบ่งออกได้ ดังนี้
กลุ่มที่มีสัญญาณอันตรายร่วม หรือกลุ่มเฉียบพลัน
เช่น มีลักษณะอาการกดทับเส้นประสาท, มีประวัติอุบัติเหตุ, มีโรคประจำตัว (เช่น โรคมะเร็ง โรคกล้ามเนื้อกระดูกและข้อ) และในกลุ่มเด็กหรือผู้สูงอายุ ซึ่งลักษณะอาการต่างจากคนทั่วไป ต้องให้แพทย์ทำจากตรวจวินิจฉัยอย่างละเอียดเพื่อหาสาเหตุ และวิธีการรักษาที่ถูกต้องเหมาะสม
กลุ่มที่ไม่มีสัญญาณอันตรายร่วม แบ่งการรักษาเป็น 3 วิธี คือ
- กลุ่มที่ปวดแบบเฉียบพลัน
เช่นกล้ามเนื้อยอก กล้ามเนื้อเคล็ด รักษาโดยการให้พักผ่อนอย่างเหมาะสมร่วมด้วยกับการให้ยา และทำกายภาพบำบัด หรือรักษาด้วยวิธีการฝังเข็ม
- การรักษาแบบประคับประคอง
เป็นกลุ่มที่มีอาการปวดทั่วไป ไม่รุนแรง สามารถรักษาตามอาการ เช่นการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม เป็นต้น แต่หากถ้าอาการยังไม่ดีขึ้น หรือมีอาการเรื้อรังที่นานเกินกว่า 6 สัปดาห์ แพทย์อาจมีการพิจารณาตรวจเพิ่มเติม เช่น X-Ray กระดูกคอ เพื่อดูว่ามีอาการเสื่อม เคลื่อน หรือหมอนรองกระดูกยุบหรือไม่?
- กลุ่มผู้ป่วยเรื้อรัง
หรือกลุ่มที่ทำการรักษาด้วยวิธีปกติไม่หาย ต้องมีการทำกายภาพเพื่อลดความเจ็บปวด และเสริมสร้างกล้ามเนื้อเข้าร่วมด้วย เช่น การออกกำลังกายตามโปรแกรมฝึก, การใช้เครื่องมือทางกายภาพบำบัด (เช่น เครื่องประคบร้อน, เครื่อง shock wave, การใช้ Laser) หรือการออกกำลังกายแกนกลางลำตัว และที่สำคัญเมื่ออาการปวดหายต้องมีการรักษาต่อเนื่องเพื่อป้องกันไม่ให้อาการปวดกลับมาเป็นซ้ำได้
ไม่อยากปวดคอ บ่า ไหล่ ป้องกันได้ด้วยวิธีนี้
- ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิต เช่น การปรับท่านอน การเดิน ท่านั่ง ให้เหมาะสม
- ปรับเปลี่ยนความเหมาะสมของสถานที่ทำงาน เช่น โต๊ะทำงาน เก้าอี้นั่งควรมีพนักพิงและที่วางแขน หรือ ลักษณะท่านั่งทำงาน
- การออกกำลังกายที่เหมาะสม คือ การยืดกล้ามเนื้อคอเพื่อเสริมสร้างความแข็งแรงกล้ามเนื้อ คอ บ่า ไหล่ และเพิ่มความทนทานของกล้ามเนื้อ ด้วยการออกกำลังอย่างสม่ำเสมอ เช่น วิ่งหรือว่ายน้ำ เป็นต้น
การบริหารกล้ามเนื้อเพื่อลดอาการปวด
การทำกายบริหารเช่นนี้ มีจุดประสงค์เพื่อเพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ เพราะหากเราอยู่ในท่าทางที่ไม่ดีนานๆ จะมีกล้ามเนื้อบางกลุ่มที่ตึงและกล้ามเนื้อบางส่วนที่อ่อนแรง ซึ่งจะทำให้ประสิทธิภาพในการต้านแรงของกล้ามเนื้อกลุ่มที่ตึงเสียไปนั่นเอง ซึ่งสามารถทำกายบริหารได้ตามส่วนต่างๆ ดังนี้
1 บริหารกล้ามเนื้อคอ
ท่าที่ 1 : ก้มและเงยคอให้สุด (ก้ม 5 วินาที และเงย 5 วินาที) ท่าที่ 2 : หันคอไปทางด้านซ้าย และด้านขวาให้สุด (หันค้างไว้ข้างละ 5 วินาที) ท่าที่ 3 : เอียงคอเอาชิดไหล่ด้านซ้าย และด้านขวาให้ได้มากที่สุด (เอียงค้างไว้ข้างละ 5 วินาที)
2 บริหารกล้ามเนื้อไหล่
เหยียดแขนข้างหนึ่งไปด้านข้าง แล้วใช้แขนอีกข้างวางเหนือข้อศอก และกดข้อศอกเข้าหาลำตัว เพื่อเป็นการยืดกล้ามเนื้อส่วนสะบัก (ดึงเข้าหาลำตัวค้างไว้ข้างละ 5 วินาที) เอามือสองข้างประสานกันแล้วเหยียดแขนตรงไปข้างหน้าจนสุด (ค้างไว้ประมาณ 5 วินาที)
3 บริหารบ่า
นั่งบนเก้าอี้ เอามือข้างหนึ่งจับขอบเก้าอี้ แล้วใช้มืออีกข้างดึงศีรษะจนกล้ามเนื้อบริเวณคอและบ่ารู้สึกตึง ทำสลับข้าง (ดึงค้างไว้ ข้างละ 5 วินาที) อย่างไรก็ดี แม้ว่าอาการปวดคอ บ่า ไหล่จะเป็นอาการหลักที่ชาวออฟฟิศเป็นกันมาก แต่หากทำตามคำแนะนำที่กล่าวไปข้างต้น ก็จะช่วยคลายกล้ามเนื้อ และช่วยบรรเทาอาการปวดให้ลดลงได้
การรักษา อาการปวดไหล่-ต้นคอ ด้วย “เครื่องมือทางกายภาพบำบัด” อื่น ๆ
การรักษาอาการออฟฟิศซินโดรมด้วยศาสตร์ทางกายภาพบำบัด ร่วมกับการใช้เครื่องมือทันสมัย เป็นเทคโนโลยีใหม่ล่าสุดที่มีประสิทธิภาพสูง โดยทีมนักกายภาพบำบัดมืออาชีพ ผู้เชี่ยวชาญ มีประสบการณ์ เพื่อรักษาผู้ที่มีอาการปวดคอ บ่า ไหล่ ออฟฟิศซินโดรม ซึ่งเป็นการรักษาที่ต้นเหตุ พร้อมทั้งช่วยปรับโครงสร้างร่างกายในส่วนที่มีปัญหา ให้กลับมาอยู่ในตำแหน่งที่ถูกต้องตามหลักกายวิภาคศาสตร์ โดยมีโปรแกรมหลากหลายให้เลือกตามความเหมาะสมกับปัญหาและอาการของแต่ละท่าน
ซึ่งเครื่องมือดังกล่าวก็มีหลากหลายด้วยกัน ซึ่งก็จะถูกนำมาใช้ให้เหมาะสมตามระดับอาการของแต่ละท่านตามที่กล่าวไปข้างต้น ยกตัวอย่างเครื่องมือ เช่น
เครื่องกระตุ้นไฟฟ้า (Electrotherapy)
กระตุ้นกล้ามเนื้อเพื่อให้เกิดการหดตัว ชะลอการลีบเล็กของกล้ามเนื้อ เพิ่มความแข็งแรงและความทนทานของกล้ามเนื้อ เพิ่มการไหลเวียนและลดบวมจากการหดตัวเป็นจังหวะของกล้ามเนื้อ ลดอาการปวดของกล้ามเนื้อ ลดการเกร็งของกล้ามเนื้อ
เครื่องช็อคเวฟ (ShockWave Therapy)
การรักษาด้วยคลื่นกระแทก เหมาะสำหรับการรักษาผู้ที่มีอาการปวดออฟฟิศซินโดรม อาการอักเสบเรื้อรัง รักษามานานยังไม่หาย ซึ่งเป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพ อาการปวดลดลง
เครื่องเลเซอร์กำลังสูง (High Power Laser Therapy)
สำหรับลดอาการปวดออฟฟิศซินโดรม บวมอักเสบของระบบกล้ามเนื้อ ข้อ กระดูกและเส้นเอ็น
เครื่องอัลตราซาวด์ (Ultrasound therapy)
ลดปวด ลดการอักเสบและซ่อมแซมเนื้อเยื่อ ช่วยคลายการเกร็งตัวของกล้ามเนื้อ ลดการยึดตรึงของข้อต่อ รักษาอาการบาดเจ็บของเนื้อเยื่อ และข้อต่อ เอ็นอักเสบ รวมทั้งออฟฟิศซินโดรม
อย่างไรก็ตาม การรักษาด้วยการทำกายภาพบำบัดนั้น จะใช้อุปกรณ์ทางกายภาพบำบัดหลายอย่าง เช่น อัลตร้าซาวนด์ ซึ่งเป็นความร้อนลึก, เลเซอร์ที่มีความแรงสูง ช่วยให้รักษาระดับลึกและมีประสิทธิภาพดีขึ้น และการใช้ Shockwave (คลื่นกระแทก) ในบางกรณี ขึ้นอยู่กับแพทย์ที่จะเลือกเครื่องมือทำกายภาพบำบัดให้เหมาะกับแต่ละบุคคล ดังนั้น ผู้ประสบปัญหาควรเข้ารับคำแนะนำจากแพทย์หรือนักกายภาพบำบัดผู้เชี่ยวชาญจะดีที่สุด
——————————–
ข้อควรระวัง: เนื้อหาในบทความ วีดีโอ ข้อความคิดเห็น มีจุดประสงค์เพื่อให้ความรู้ และสาธิตให้ดูเป็นตัวอย่างเท่านั้น ไม่ได้มีความตั้งใจจัดทำขึ้นเพื่อทดแทนการเข้ารับการตรวจ วิเคราะห์ และการวางแผนการรักษาของผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์ ผู้เข้าชมไม่ควรวินิจฉัย หรือ คาดเดาโรคด้วยตัวเองจากการอ่านบทความ ข้อคิดเห็น หรือ ดูวีดีโอ นี้ คนไข้ควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์ของตนเองเพื่อทราบสาเหตุที่แท้จริงของอาการปวด และเพื่อหลีกเลี่ยงการปวดที่อาจเกิดเพิ่มมากขึ้นในภายหลัง
บทความที่น่าสนใจ
- ปวดเอวเวลานอน-สาเหตุการนอนไม่หลับ แก้ยังไงดี
- “ปวดหลังเรื้อรัง” 6 พฤติกรรมที่ทำให้คุณปวดหลังแบบไม่รู้ตัว
- “ฝังเข็ม” วิธีรักษาทางกายภาพบำบัดของโรคออฟฟิศซินโดรม