5 เหตุผล ที่คนยุคใหม่ต้องไป “คลินิคกายภาพบำบัด” มากขึ้น
“คลินิคกายภาพบำบัด” คงไม่ใช่สถานที่ที่ไกลตัวสำหรับคนไทยในปัจจุบันอีกต่อไป เนื่องจากนับวันประเทศไทยมีจำนวนผู้ป่วยที่ต้องรักษาด้วยวิธีกายภาพบำบัดเพิ่มมากขึ้น เพราะพฤติกรรมการทำงานของคนไทยอยู่ในลักษณะนั่งอยู่กับที่ ทำให้ระบบประสาทและกล้ามเนื้อทำงานหนักบางส่วนจนเกิดการบาดเจ็บนั่นเอง
“คลินิคกายภาพบำบัด” คืออะไร ทำไมคนรุ่นใหม่ต้องไป
เมื่อปี 2552 และในปี 2559 มีจำนวนผู้สูงอายุถึงร้อยละ 16.5 ของประชากรทั้งหมด 65.9 ล้านคน ซึ่งทางมูลนิธิสถาบันวิจัยและการพัฒนาผู้สูงอายุไทยคาดการณ์ว่าในอีก 20 ปีข้างหน้า ประเทศไทยจะมีผู้สูงอายุเพิ่มสูงขึ้นถึงร้อยละ 30 ของประชากรทั้งหมด จึงทำให้หน่วยงานภาครัฐต้องเร่งผลิตนักกายภาพบำบัดออกมาเพื่อรองรับสถานการณ์ให้มากขึ้นตาม ซึ่งจากสถิติดังกล่าว ชี้ให้เห็นว่าในอนาคตการรักษาด้วยวิธีกายภาพบำบัดจะเป็นที่นิยมมากขึ้นตามไปด้วย
บริการของคลินิคกายภาพฯ รักษาผู้ป่วยโรคอะไรบ้าง?
วิธีนี้จะใช้บำบัดผู้ป่วยตั้งแต่เด็กแรกเกิด ไปจนถึงผู้สูงอายุ ได้แก่ ทารกที่มีความผิดปกติเกี่ยวกับกระดูก และกล้ามเนื้อตั้งแต่กำเนิด ผู้ป่วยที่เป็นโรคหมอนรองกระดูทับเส้นประสาท ผู้ที่ได้รับบาดเจ็บจากอุบัติเหตุ หรือจากการผ่าตัด ผู้สูงอายุที่เกิดภาวะแทรกซ้อนหลังจากป่วยเป็นโรคหลอดเลือดในสมอง และผู้ที่มีปัญหาด้านการเคลื่อนไหวร่างกาย เช่น ปวดเมื่อยเรื้อรังตามบ่า ไหล่ หลัง แขน และขา แต่ในการรักษาต้องมีความต่อเนื่องเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพมากที่สุด ซึ่งอาการเหล่านี้สามารถหายขาดได้ แต่ก็ต้องปรับพฤติกรรมการเดิน ยืน นั่ง นอน ให้ถูกวิธีด้วย
ปัจจัยที่ส่งผลต่อสุขภาพของคนรุ่นใหม่…
ปัญหาสุขภาพของคนรุ่นใหม่ที่เพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ นี้ อาจเป็นผลมาจาก
-
ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี
ชาวมิลเลนเนียลถือว่า เป็นกลุ่มคนที่เติบโตมากับเทคโนโลยีโดยแท้จริง และได้เรียนรู้การใช้อุปกรณ์อิเล็กโทรนิกส์ต่างๆ เช่น คอมพิวเตอร์ และใช้ชีวิตอยู่กับอุปกรณ์เหล่านั้นมากกว่าจะเรียนรู้ในการสร้างปฏิสัมพันธ์กับคนรอบข้าง การสบตาผู้คน ทำให้ไม่ถนัดในการอ่านสีหน้า หรือไม่ระมัดระวังในการรับมือกับอารมณ์ของผู้อื่นรวมถึงตัวเองเท่าไหร่นัก
การขาดความตระหนักรู้ทางอารมณ์ (emotional awareness)
ภาวะนี้เรียกว่า ภาวะอเลกซีไธเมีย (Alexithymia) ที่ทำให้ชาวมิลเลนเนียลไม่สามารถเข้าใจอารมณ์และความรู้สึกของตัวเองและผู้อื่น จนทำไปสู่ปัญหาการเข้าสังคม การเรียน การทำงาน และปัญหาสุขภาพได้ในที่สุด
-
การรับสื่อมากเกินไป
อินเตอร์เน็ตทำให้คนรุ่นใหม่สามารถเข้าถึงสื่อต่างๆ ได้ตลอด 24 ชั่วโมง และทำให้เราเข้าถึงข้อมูลได้แทบจะทุกระดับ ไม่ว่าจะเป็นภาพวิดีโอขำขัน ข่าวบันเทิง ไปจนถึงภาพเหตุการณ์ระทึกขวัญหรือน่ากลัว ภาพการก่อการร้าย ภัยธรรมชาติ หายนะ และความรุนแรงต่างๆ มีให้เห็นอยู่ทั่วไป นั่นทำให้คนรุ่นใหม่ โดยเฉพาะชาวมิลเลนเนียลรู้สึกสิ้นหวัง ท้อแท้ หดหู่ ปัญหาสุขภาพต่างๆ โดยเฉพาะปัญหาสุขภาพจิตจึงเกิดขึ้นไม่ได้ยาก
-
ตารางการทำงานที่ไม่แน่นอน
ปัจจุบันการทำงานไม่จำเป็นต้องเข้าออฟฟิศ หรือตอกบัตรเข้า-ออกในเวลาเดียวกันทุกวัน บริษัทส่วนหนึ่งเริ่มให้พนักงานทำงานทางไกล ทำงานที่บ้าน หรือยืดหยุ่นในเรื่องเวลาทำงานมากขึ้น วิธีนี้อาจจะฟังดูดีและเป็นที่ถูกอกถูกใจคนรุ่นใหม่ส่วนใหญ่ เพราะรู้สึกเป็นอิสระในการทำงานมากกว่าคนรุ่นก่อนๆ
โรคที่มักพบในคนรุ่นใหม่ มีอะไรบ้าง?
1. ออฟฟิศซินโดรม
ออฟฟิศซินโดรมเป็นโรคที่เกิดขึ้นโดยตรงกับพนักงานออฟฟิศ ด้วยพฤติกรรมส่วนใหญ่ของคนทำงานที่ต้องนั่งทำงานอยู่หน้าคอมพิวเตอร์อยู่เป็นเวลานานโดยไม่ได้ขยับตัว จนทำให้กล้ามเนื้อเกิดอาการตึง ก่อให้เกิดอาการกล้ามเนื้ออักเสบได้ จากสถิติของกรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุขระบุว่า “คนวัยทำงานร้อยละ 60 มีภาวะโรคออฟฟิศซินโดรม”
2.โรคปลอกประสาทอักเสบ
จากข้อมูลทางสถิติ โรคปลอกประสาทอักเสบเป็นโรคใกล้ตัวหญิงวัยทำงาน โดยเฉพาะผู้ที่มีอายุ 20 – 40 ปี หากเป็นมากจะสูญเสียการเคลื่อนไหวของร่างกายจนอาจเป็นอัมพฤกษ์ อัมพาตได้
3. โรคเครียดลงกระเพาะ
โรคเครียดลงกระเพาะ ส่วนมากเกิดจากความเครียด เพราะในขณะที่เราเครียด ระบบประสาทอัตโนมัติจะกระตุ้นให้กระเพาะอาหารหลั่งน้ำย่อยออกมามากกว่าปกติ จนเกิดการระคายเคือง ส่งผลให้เกิดโรคกระเพาะอาหาร
4. โรคปวดศีรษะไมเกรน
พบบ่อยในผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย อาการปวดตุ๊บๆ เป็นๆ หายๆ ปวดข้างเดียวที่หน้าผาก ขมับท้ายทอย คลื่นไส้อาเจียน ไวต่อเสียงและแสง คือ อาการนำของปวดศีรษะไมเกรน ต่างจากปวดศีรษะจากกล้ามเนื้อตึงตัวที่จะปวดทั้งสองข้างเหมือนถูกรัดบีบหัว หลายคนมักคิดว่าทานยาแก้ปวดเดี๋ยวก็หาย จึงรักษาไม่ถูกชนิดของโรค
5.โรคความดันโลหิต/โรคหลอดเลือดสมอง
สำหรับคนที่ชอบอยู่กลางคืน ชอบนอนดึกๆ ทำให้นอนไม่เพียงพอ พักผ่อนน้อย ผู้ที่ขาดการออกกำลังกายเป็นประจำ รวมถึงผู้ที่มีไขมันในเลือดสูง รวมถึงผู้สูบบุหรี่และดื่มสุราเป็นประจำเช่นกัน
5 เหตุผล ที่คนยุคใหม่ต้องไป “คลินิคกายภาพฯ”
1.ลดความเจ็บปวดจากโรคที่เกิด
แน่นอนว่าเป็นเหตุผลอันดับแรกเลยก็ว่าได้สำหรับการทำกายภาพ เพราะโดยส่วนใหญ่แล้วคนไข้ทุกๆ คนย่อมคาดหวังให้ตนเองหายป่วยจากอาการเจ็บปวดต่างๆ สิ่งสำคัญคือต้องฟื้นฟูให้สุขภาพกลับแข็งแรงเช่นเดิมด้วย
2.เพิ่มประสิทธิภาพการเคลื่อนไหว
โดยส่วนใหญ่แล้ว โรคที่ต้องทำการรักษาด้วยการทำกายภาพ มักเป็นกลุ่มโรคที่ส่งผลต่อการเคลื่อนไหวในระยะยาว การมาทำกายภาพนั้นจะช่วยให้คนหนุ่มสาววัยทำงานเกิดความคล่องตัวและรู้สึกกระปรี้กระเปร่ามากขึ้น
3.เพิ่มความแข็งแรงให้กับกล้ามเนื้อ
คนยุคใหม่หลายๆ คนมีปัญหาเกี่ยวกับความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ เนื่องจากกิจวัตรประจำวันที่ส่วนใหญ่นั่งทำงานอยู่หน้าจอคอม ทำให้ไม่ค่อยได้ขยับไปไหน เป็นหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้กล้ามเนื้อที่ควรแข็งแรงนั้นอ่อนแอลง การทำกายภาพสามารถช่วยฟื้นฟูกล้ามเนื้อให้ดีขึ้นได้
4. รักษาอาการป่วยให้หายอย่างถาวร
กลุ่มโรคที่สามารถรักษาได้ด้วยการทำกายภาพ ส่วนใหญ่แล้วหากคนไข้ไม่ได้เข้ารับการรักษามาก่อน หรือรักษาไม่จริงจังก็สามารถกลับมาเป็นซ้ำได้ เช่น ออฟฟิศซินโดรม ไมเกรน เป็นต้น ดังนั้น คนรุ่นใหม่จึงมักเลือกที่จะเข้าคลินิคกายภาพฯ เพื่อรักษาให้หายขาดดีกว่าต้องเข้าออกโรงพยาบาลบ่อยๆ นั่นเอง
5. ป้องกันอาการป่วยได้ ไม่ต้องรอให้เป็นก่อน
หากสังเกตกันดูดีๆ จะพบว่าคนรุ่นใหม่หลายๆ คนชอบออกกำลังกายกันมากขึ้น ซึ่งนอกจากการเข้ารับการทำกายภาพแล้ว พวกเขาก็จะเล่นกีฬา เข้ายิม หรือกิจกรรมตามความชอบต่างๆ ที่ได้ขยับร่างกายเพื่อป้องกันโรคต่างๆ ก่อนที่จะเกิดขึ้นกับตัวพวกเขาเองได้อย่างดี เพราะเป็นกลุ่มที่อยู่ในยุคสื่อ พวกเขาจึงเห็นตัวอย่าง ค้นคว้า และหาวิธีแก้ไขปัญหารวมถึงการป้องกันปัญหาได้ดี
คลินิคกายภาพฯ ช่วยรักษาคนรุ่นใหม่ได้อย่างไร?
การทำกายภาพบำบัดจะช่วยป้องกัน ลดความเจ็บปวดตามอวัยวะส่วนต่างๆ ที่เกิดปัญหา และฟื้นฟูสุขภาพ เสริมสร้างความแข็งแรงของกระดูก ข้อ และกล้ามเนื้อ รวมทั้งจัดการปัญหาด้านการเคลื่อนไหว หรือความบกพร่องของร่างกาย โดยใช้เครื่องมือทางกายภาพบำบัดผสมผสานกับวิธีหัตถการ คือการดึง ดัด จัดกระดูก เพื่อรักษาผู้ป่วยให้กลับมาเคลื่อนไหวเป็นปกติมากที่สุด และเนื่องจากเป็นการรักษาที่มีประสิทธิภาพ มีผลข้างเคียงน้อย จึงเหมาะกับคนทุกเพศทุกวัยนั่นเอง
อย่างไรก็ดี ถึงแม้คลินิคกายภาพบำบัดจะเป็นทางเลือกใหม่ของการรักษาสำหรับคนไทยยุคปัจจุบัน แต่ในอนาคต “กายภาพบำบัด” จะเข้ามามีบทบาททางการแพทย์มากขึ้น และได้รับการสนับสนุน และพัฒนามากขึ้น
——————————–
ข้อควรระวัง: เนื้อหาในบทความ วีดีโอ ข้อความคิดเห็น มีจุดประสงค์เพื่อให้ความรู้ และสาธิตให้ดูเป็นตัวอย่างเท่านั้น ไม่ได้มีความตั้งใจจัดทำขึ้นเพื่อทดแทนการเข้ารับการตรวจ วิเคราะห์ และการวางแผนการรักษาของผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์ ผู้เข้าชมไม่ควรวินิจฉัย หรือ คาดเดาโรคด้วยตัวเองจากการอ่านบทความ ข้อคิดเห็น หรือ ดูวีดีโอ นี้ คนไข้ควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์ของตนเองเพื่อทราบสาเหตุที่แท้จริงของอาการปวด และเพื่อหลีกเลี่ยงการปวดที่อาจเกิดเพิ่มมากขึ้นในภายหลัง
บทความที่น่าสนใจ
- ปวดหลัง นั่งนาน อาการยอดฮิตของคนทำงานที่ต้องแก้
- “ปวดหลังเรื้อรัง” 6 พฤติกรรมที่ทำให้คุณปวดหลังแบบไม่รู้ตัว
- 5 ท่ายืดสลักเพชร ปวดแค่ไหนก็หายได้