ปวดกระเบนเหน็บ ปวดเอว อันตรายไหม ทำอย่างไรจึงจะหาย?
ปวดกระเบนเหน็บ เป็นอาการที่ส่งผลต่ออวัยวะช่วงล่างอย่างมากมาย แต่กลับกลายเป็นว่าไม่ค่อยมีใครรู้จัก ซึ่งส่วนใหญ่อาการนี้มักพบในคนวัยทำงาน โดยเฉพาะชาวออฟฟิศทั้งหลาย ซึ่งอาการปวดบริเวณกระเบนเหน็บเช่นนี้ เมื่อเป็นแล้ว ผู้ป่วยจะไม่ได้เกิดอาการปวดแค่จุดเดียว แต่จะลามไปยังจุดอื่น ๆ เช่น ต้นขา แข้ง ไปจนถึงเท้า ซึ่งถือว่าอาการดังกล่าว เป็นภัยร้ายของคนที่นั่งทำงานหน้าจอคอมพิวเตอร์เป็นเวลานาน ๆ รวมถึงท่าทางในการนั่ง ซึ่งอาจจะส่งผลต่อสุขภาพบริเวณหลังจนมีอาการปวดแบบเรื้อรังได้ ถ้ารู้แบบนี้แล้ว ต้องรีบหาวิธีการแก้ปัญหา โดยลำดับแรกต้องมาทำความรู้จักอาการปวดกระเบนเหน็บเพื่อที่จะหลีกเลี่ยงและหาวิถีทางในการป้องกันได้
ปวดกระเบนเหน็บ คืออาการอะไร เกิดจากอะไร รักษาด้วยวิธีไหนดี?
อาการปวดกระเบนเหน็บถ้าให้พูดให้ชัดเจนและเห็นภาพมากที่สุด คือ อาการปวดบริเวณกระดูกสะโพกส่วนล่าง ซึ่งมีจุดเชื่อมไปยังกระดูกสันหลังกับกระดูกเชิงกราน โดยอาการปวดเหล่านี้อาจจะมาจากอาการของการเคลื่อนไหวที่ผิดปกติ การนั่งผิดท่า หรือท่าที่ไม่เหมาะสม นอกจากนี้ยังมาจากอาการ ที่มาพร้อมกับการปวดประจำเดือนนั่นเอง
กระเบนเหน็บ คืออะไร อยู่ตรงไหน?
กระเบนเหน็บ (sacrum) เป็นส่วนหนึ่งของกระดูกสันหลัง ซึ่งเดิมมี 8 ชิ้น แต่จะเชื่อมรวมกันเป็นชิ้นเดียว และจะต่อกับกระดูกเชิงกราน (pelvic bone) โดยจะมีช่องเปิด (sacral foramina) เพื่อเป็นทางผ่านของเส้นประสาทที่ไปยังบริเวณเชิงกรานและขา ซึ่งกระดูกใต้กระเบนเหน็บเป็นกระดูกสันหลังชิ้นที่ต่อกับกระดูกสันหลังเอว (Lumbar spine) โดยข้อต่อระหว่างกระดูกเอวและกระดูกกระเบนเหน็บเรียกว่า Lumbosacral joint ซึ่งเป็นจุดรองรับน้ำหนักตัวและส่งผ่านน้ำหนักตัวจากลำตัวสู่ขาทั้งสองข้าง จึงเป็นข้อที่ก่อให้เกิดการเคลื่อนและการเสื่อมได้มากที่สุดข้อหนึ่ง โดยอาการปวดหลังช่วงล่างมักเกิดจากโรคของข้อนี้นั่นเอง
อาการปวดตรงกระเบนเหน็บ คือ…
ต้องทำความเข้าใจก่อนว่า อาการปวดตรงกระเบนเหน็บเป็นอาการที่เกิดขึ้นที่กระดูกสะโพกส่วนล่าง หรือกระดูกข้อสะโพก จุดที่เชื่อมต่อระหว่างปลายกระดูกสันหลัง กับกระดูกเชิงกราน ซึ่งทำให้สับสนกับโรคของกระดูกสันหลังอย่างมาก อาการปวดกระเบนเหน็บ ก็เกิดจากการที่ภาวะกระดูกข้อต่อก้นกบมีการเคลื่อนไหวที่ผิดปกติ เนื่องจากกระเบนเหน็บเป็นจุดเชื่อมต่อระหว่างร่างกายส่วนบน (กระดูกสันหลัง) กับร่างกายส่วนล่าง (กระดูกเชิงกราน) เลยทำให้รอบ ๆ กระเบนเหน็บรายล้อมไปด้วยเอ็น ข้อต่อต่าง ๆ มากมาย การเคลื่อนไหวที่ผิดปกติของกระดูกข้อต่อก้นกบนี้ เช่น เคลื่อนไหวน้อยลง มากเกินไป หรือมีการยึด ติด รั้งของเส้นเอ็นที่ยึดข้อกระดูกต่าง ๆ ไว้ หรือมีความยิมนาสติกมากจนทำให้กระดูกวางตัวผิดตำแหน่ง ก็เป็นสาเหตุให้เกิดอาการปวดกระเบนเหน็บเช่นกัน
สาเหตุของอาการปวดตรงกระเบนเหน็บ
เนื่องจากกระเบนเหน็บเป็นอวัยวะที่ใครหลาย ๆ คนไม่รู้จัก จึงอาจคิดได้ว่าอาการปวดต้องเกิดจากสาเหตุที่เกิดขึ้นได้ยาก แต่แท้จริงแล้วเกิดจากสาเหตุที่ใกล้ตัวกว่าที่ทุกคนคิด เช่น
- มาจากการนั่งทำงานหรือนั่งในท่าเดิม ๆ เป็นเวลาติดต่อกันนาน ๆ
- หญิงตั้งครรภ์หรือเคยผ่านการตั้งครรภ์มาแล้ว เพราะการตั้งครรภ์จะทำให้เกิดอาการปวดบริเวณสะโพกส่วนล่างเนื่องจากมีทั้งความแข็งแรงและมีความอ่อนตัวที่น้อยลงกว่าเดิม
- อาจเกิดจากการประสบอุบัติเหตุบริเวณสะโพกโดยตรง เช่น ล้มกระแทก
- ชอบนั่งไขว่ห้างเป็นประจำ
- ทำท่าทางที่ชอบบิดตัวให้มีเสียงดังกรอบเป็นประจำ ซึ่งอาจมีผลต่อข้อต่อและเส้นเอ็น ซึ่งอาจเกิดการเสื่อมสภาพลงในอนาคต
- การเล่นกีฬาที่ต้องใช้แรงเหวี่ยงตัว โดยเฉพาะการใช้บริเวณแขนและขาเป็นประจำ
- การนั่งขับรถเป็นเวลานานติดต่อกันหลายชั่วโมง
การรักษา หรือป้องกันอาการปวดตรงกระเบนเหน็บ
การที่แพทย์จะวินิจฉัยให้มั่นใจว่าเป็นโรคกระเบนเหน็บนั้น ต้องมาจากการซักประวัติอย่างเดียวเลย เนื่องจากอาการปวดกระเบนเหน็บนี้ ไม่สามารถ X-ray หรือใช้ภาพถ่ายทางรังสีมาวินิจฉัยได้ สำหรับการรักษาอาการปวดกระเบนเหน็บนั้น ก็มี 2 แบบใหญ่ ๆ คือ การรักษาแบบผ่าตัด กับการรักษาแบบไม่ผ่าตัด ซึ่งการรักษาโดยการผ่าตัด จะใช้สำหรับผู้ที่ปวดกระเบนเหน็บมาก ๆ แบบกระทบกับกิจวัตรประจำวัน และซึ่งในปัจจุบันการผ่าตัดกระเบนเหน็บก็เป็นลักษณะการผ่าตัดแบบแผลเล็ก เสียเลือดน้อย ไม่เหมือนกับในอดีตแล้ว
การรักษาโดยไม่ได้ผ่านการผ่าตัดนั้นมีหลายวิธีมาก ๆ บางวิธีก็นับว่าเป็นวิธีการป้องกันด้วยซ้ำ วิธีการรักษาแบบไม่ผ่าตัดก็มีตั้งแต่ การจี้ข้อเชิงกรานด้วยคลื่นวิทยุความถี่สูง ซึ่งเป็นวิธีที่ได้มาตรฐาน และได้ผลดี แถมไม่ต้องผ่าตัดอีกด้วย รองลงมาก็จะเป็นการฉีดยาชา และยาต้านการอักเสบเข้าในข้อเชิงกราน แต่วิธีนี้แพทย์จะต้องทราบจุดที่ทำให้เกิดอาการปวดอย่างแม่นยำ วิธีที่ 3 ซึ่งเป็นวิธีที่เบสิกที่สุด คือการทานยาแก้ปวด และวิธีสุดท้ายที่คล้าย ๆ กับการป้องกันอาการปวดกระเบนเหน็บก็ว่าได้ คือการทำกายภาพบำบัด ซึ่งต้องทำกับแพทย์ที่มีความชำนาญในการทำกายภาพเกี่ยวกับกระดูกเชิงกราน แต่การป้องกันที่ทำเองได้ และง่ายอย่างคิดไม่ถึงคือ การนั่งให้ถูกต้อง แต่จะนั่งทำงานอย่างไรถึงจะถูกต้อง
การปรับท่านั่งให้ถูกต้องตามหลัก ลดอาการปวดบริเวณกระเบนเหน็บ
โดยปกติแล้วเวลาที่เรานั่ง จะมีแรงกดที่โครงสร้างต่าง ๆ ของกระดูกสันหลังมากกว่าในช่วงเวลาที่เรายืน เพราะฉะนั้นท่านั่งที่ดีจึงเป็นสิ่งที่สำคัญมาก ในการลดแรงกดที่จะเกิดขึ้นต่อโครงสร้างต่าง ๆ ของหลัง ไล่ตั้งแต่กระดูกคอไปจนถึงหลัง
- ท่านั่ง เป็นท่าที่ใช้ในการทำงานหน้าคอมพิวเตอร์สูงที่สุด การปรับให้ถูกต้องตามหลักการยศาสตร์จะช่วยลดอาการบาดเจ็บลงได้
- การนั่ง ส่งผลต่อแรงกดของน้ำหนักร่างกายลงบนหมอนรองกระดูกสันหลังมากกว่าท่ายืน
- ระหว่างทำงานจึงควรนั่งตัวตรง หลังไม่ค่อม ไหล่ไม่ห่อ คอตรง หน้าไม่ยื่น
- ปรับสภาพแวดล้อมบนโต๊ะทำงานให้เหมาะสม
การให้การรักษาโดยแพทย์ฟื้นฟู
- การรักษาด้วยยา ได้แก่ การใช้ยาเพื่อรักษาอาการ เช่น ยาคลายกล้ามเนื้อ ยาแก้ปวดชนิดต่าง ๆ
- การฝังเข็มแบบตะวันตก จะเป็นการฝังเข็มไปยังจุดที่กล้ามเนื้อเกร็งตัวโดยตรง ทำให้ช่วยลดความตึงตัวและความไวของปลายประสาทที่มาเลี้ยงกล้ามเนื้อบริเวณดังกล่าว ช่วยในกลุ่มคนที่มีจุดกดเจ็บชัดเจนให้สามารถลดอาการปวดได้ไว แม้ว่าผู้ป่วยอาจจะมีอาการเจ็บระบมหลังการฝังได้ แต่มักจะหายได้เองในระยะเวลา 1-2 วัน
- การใช้เครื่องมือทางกายภาพแบบใหม่ เช่น
- การรักษาโดยคลื่นกระแทก ( Extracorporeal shock wave ) เป็นการรักษาโดยใช้คลื่นกระแทกเพื่อกระตุ้นบริเวณที่บาดเจ็บให้มีการเร่งการซ่อมแซม ช่วยลดการอักเสบ ลดการปวดและรักษาฟื้นฟูเนื้อเยื่อได้ อย่างไรก็ตามการรักษาวิธีนี้ ขณะทำการรักษาจะมีอาการเจ็บจากคลื่นกระแทกได้
- เครื่องเลเซอร์ความแรงสูง ( High intensity Laser therapy ) จะช่วยลดการอักเสบ และอาการปวดบริเวณตำแหน่งที่ปวดได้ และขณะให้การรักษาก็จะไม่มีอาการเจ็บบริเวณตำแหน่งที่ทำการรักษาด้วย จึงมักจะใช้ในระยะเฉียบพลันที่อาจจะมีอาการปวดค่อนข้างมาก
- การรักษาด้วยเครื่องมือทั้ง 2 ชนิดดังกล่าว จะมีข้อห้าม และข้อควรระวังที่แตกต่างกัน ดังนั้นการจะรักษาด้วยวิธีการใด ใช้ระยะเวลาไหร่ จึงจำเป็นต้องปรึกษาแพทย์เวชศาสตร์ฟื้นฟูเป็นราย ๆ ไป
การทำกายภาพบำบัด โดยนักกายภาพบำบัด
- นักกายภาพบำบัดจะทำการประเมินและให้การรักษาด้วยเครื่องมือกายภาพต่าง ๆ เช่นเครื่องอัลตราซาวด์ เครื่องกระตุ้นไฟฟ้า
- เครื่องมือทางกายภาพจะช่วยลดอาการปวด และอาการตึงตัวของกล้ามเนื้อได้ดี
- ควรทำกายภาพบำบัด ร่วมกับการทำ Manual Treatment ต่าง ๆ เช่น การยืด การดัด และสอนท่าออกกำลังกายเบื้องต้น
การออกกำลังกายด้วย Active Rehabilitation
- คือการออกกำลังกายเพื่อสร้างความแข็งแรงของกล้ามเนื้อที่สำคัญ เช่น กล้ามเนื้อก้มคอชั้นลึก กล้ามเนื้อปลายแขน
- การที่กล้ามเนื้อแข็งแรง จะทำให้เราทนทานต่อการนั่ง หรือทำงานต่อเนื่องยาวนานได้มากขึ้น
อย่างไรก็ตาม การรักษาออฟฟิศซินโดรมให้ประสบความสำเร็จ มักจะต้องอาศัยการรักษาหลายอย่างร่วมกัน ทั้งแพทย์ ทีมนักกายภาพ รวมถึงตัวคนไข้เอง โดยเฉพาะการออกกำลังกาย ทั้งการยืดเหยียดกล้ามเนื้อ และการออกกำลังกายเพื่อเพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ จะช่วยป้องกันการกลับมาเป็นออฟฟิศซินโดรมซ้ำได้อีกในระยะยาว
การรักษาโดยการใช้อุปกรณ์เสริมต่าง ๆ หรือการรักษาเพียงอย่างใดอย่างหนึ่ง อาจจะทำให้กลับมาเป็นซ้ำได้เร็วขึ้น นอกจากนี้ การปรับพฤติกรรมการทำงานก็เป็นสิ่งที่ช่วยได้มากในการผ่อนหนักให้เป็นเบา
——————————–
ข้อควรระวัง: เนื้อหาในบทความ วีดีโอ ข้อความคิดเห็น มีจุดประสงค์เพื่อให้ความรู้ และสาธิตให้ดูเป็นตัวอย่างเท่านั้น ไม่ได้มีความตั้งใจจัดทำขึ้นเพื่อทดแทนการเข้ารับการตรวจ วิเคราะห์ และการวางแผนการรักษาของผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์ ผู้เข้าชมไม่ควรวินิจฉัย หรือ คาดเดาโรคด้วยตัวเองจากการอ่านบทความ ข้อคิดเห็น หรือ ดูวีดีโอ นี้ คนไข้ควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์ของตนเองเพื่อทราบสาเหตุที่แท้จริงของอาการปวด และเพื่อหลีกเลี่ยงการปวดที่อาจเกิดเพิ่มมากขึ้นในภายหลัง
บทความที่น่าสนใจ
- ปวดเอวเวลานอน-สาเหตุการนอนไม่หลับ แก้ยังไงดี
- ยืดน่อง ลดตึง – 3 ท่ายืด ลดอาการบวมตึงที่น่อง
- น่องตึง บวม เกิดจากอะไรได้บ้าง หากหายแล้วมีโอกาสเป็นซ้ำหรือไม่?