ขับมอไซค์แล้วปวดหลัง เหล่านักบิดควรระวังเพราะอาจปวดเรื้อรังได้
“ขับมอไซค์แล้วปวดหลัง” เชื่อได้ว่าเป็นอาการที่หลายคนกำลังเผชิญอยู่เนื่องจากเป็นผู้ที่ใช้ยานพาหนะเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งต้องบอกก่อนว่าจริง ๆ แล้วไม่ว่าจะเป็นรถยนต์หรือรถมอเตอร์ไซด์นั้นก็สามารถทำให้ผู้ขับขี่เกิดอาการปวดหลังได้ทั้งสิ้นเพราะมีต้องมีอิริยาบถในการขับในท่าเดิมและในทุก ๆ วัน จึงไม่ใช่เรื่องแปลกเลยที่จะเกิดอาการนี้ขึ้น ซึ่งการที่ต้องขับทุกวันนี่เองที่อาจเป็นสาเหตุที่ทำให้อาการปวดหลังกลายเป็นอาการเรื้อรังได้ ดังนั้น เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดขึ้น ในบทความนี้ Newton Em Clinic มีเทคนิคแก้ไขอาการปวดหลังสำหรับนักบิดมาฝากกัน
ขับมอไซค์แล้วปวดหลัง โดยเฉพาะช่วงล่าง แก้ยังไงดีไม่ให้กลายเป็นอาการปวดเรื้อรัง
สำหรับผู้ที่ขับรถยนต์หรือรถมอเตอร์ไซด์เป็นเวลานาน ไม่ว่าจะเดินทางไกล หรือการจราจรติดขัดทำให้ต้องอยู่บนรถหลายชั่วโมง นอกจากจะมีอาการอ่อนเพลียแล้ว อีกหนึ่งปัญหาที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้คืออาการปวดเมื่อย และปวดหลัง ซึ่งถือเป็นอาการที่อาจทำให้เสี่ยงเกิดอุบัติเหตุที่ร้ายแรงได้ ยิ่งโดยเฉพาะช่วงหยุดยาว จึงยิ่งทำให้ผู้ที่ต้องออกสัญจรบนท้องถนนต้องใช้เวลาอยู่บนถนนนานกว่าปกติ ซึ่งอย่างต่ำก็ประมาณ 1 ชั่วโมง จึงส่งผลให้เกิดอาการปวดหลังดังกล่าวได้นั่นเอง
“ปวดหลังล่าง” เพราะต้องขับรถนาน เกิดจาก…
อาการ “ปวดหลังส่วนล่าง” นอกจากที่เกิดขึ้นจากการขับรถนานแล้ว ยังมีสาเหตุอื่น ๆ อีกที่ทำให้ปวดหลังส่วนล่างได้ เช่น การนั่งทำงานในท่าเดิม ๆ หรือผิดท่า การก้มหรือบิดตัวบ่อย ๆ การยกของหนักเป็นประจำ การทำงานที่เกิดการสั่นสะเทือนเป็นประจำ เช่น การขุดเจาะ ขับรถบรรทุก หรืออาจจะเกิดจากอุบัติเหตุบริเวณหลัง โรคเอ็นกล้ามเนื้อและกระดูกเสื่อม กระดูกสันหลังติดเชื้อ หรือภาวะกระดูกสันหลังผิดรูป เป็นต้น
ซึ่งอาการนี้ เป็นอาการที่พบได้บ่อยกับคนทุกประเภทไม่ว่าจะเป็นพนักงานออฟฟิศ แม่ค้า พ่อค้า นักเรียน นักศึกษา และที่พบบ่อย ๆ เลยก็คือ พนักงานขับรถสาธารณะนั่นเอง เช่น คนขับรถเมล์ รถตู้ หรือรถแท็กซี่ หรือใครก็ตามที่ต้องใช้เวลาขับรถในหนึ่งวันมากกว่า 2 ชั่วโมงขึ้นไป เพราะการขับรถก็เป็นอิริยาบถหนึ่งที่มักทำผิดท่าได้ง่ายเช่นเดียวกับท่านั่งทำงานในออฟฟิศ การขับรถก็ต้องนั่งอยู่ในท่าเดิมเป็นเวลานาน ๆ มีการขยับของขาและสะโพกบ้าง และยิ่งคนตัวเล็ก ๆ ก็อาจจะยิ่งทำให้ปวดหลังส่วนล่างได้เพราะเวลาขับรถมอเตอร์ไซด์บางทีต้องก้มตัวมาจับแฮนด์มากขึ้น ประกอบกับต้องเกร็งแขนเพื่อทำการบิดมอเตอร์ไซด์ด้วย จึงทำให้อาจจะต้องเกร็งกล้ามเนื้อหลังตลอดเวลาการขับรถได้นั่นเอง
วิธีแก้ไขอาการปวดหลังล่างหลังการขับรถมอเตอร์ไซด์
การรักษาและดูแลอาการปวดหลังส่วนล่าง จากการขับรถก็มีอยู่ด้วยกันหลากหลายวิธี เช่น
การปรับพฤติกรรมในการขับรถ
เนื่องจากอาการปวดหลังส่วนล่างที่เกิดขึ้นมักมาจากพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม อย่างการขับรถที่ต้องนั่งในท่าเดิมเป็นเวลานาน ๆ และบางทีหลังของเราก็ไม่ชิดกับเบาะเวลาขับรถ ทำให้กล้ามเนื้อหลังต้องทำงานตลอดเวลา จนทำให้กล้ามเนื้อเกิดความตึงตัว หากเราเอี้ยวตัวผิดหรือบิดตัวผิดท่าก็ทำให้กล้ามเนื้อเกิดการฉีกขาดภายในได้ และเมื่อเรากลับไปนั่งในท่าเดิมนาน ๆ ร่างกายจะเกิดกลไกป้องกันตัวเอง ทำให้กล้ามเนื้อเกิดอาการเกร็งและหดตัวซ้ำ ๆ จนเกิดเป็นกล้ามเนื้ออักเสบเรื้อรัง และเกิดอาการปวดตามมาได้ เราจึงควรปรับพฤติกรรมท่านั่งขับรถ ให้เกิดท่านั่งที่เหมาะสม ปรับเบาะรถให้เข้ากับการจับพวงมาลัย วางเท้าให้พอดีกับคันเร่งและเบรก หลังพิงกับเบาะให้ชิดมากที่สุด และหากต้องขับรถเป็นระยะทางไกล ๆ ควรแวะพักทุก ๆ 1 ชั่วโมงให้กล้ามเนื้อได้พักจากการทำงาน
หลีกเลี่ยงพฤติกรรมเสี่ยง เช่น ขับรถนาน ก้มเงยบ่อย
การหลีกเลี่ยงพฤติกรรมเป็นสิ่งที่ทำให้อาการปวดหลังส่วนล่างบรรเทาอาการได้ดีที่สุด โดยพฤติกรรมเสี่ยงก็มีอยู่หลายพฤติกรรม ไม่ว่าจะเป็นการนั่งในท่าเดิมเป็นเวลานาน การนั่งทำงานในออฟฟิศ การขับรถนาน การยกของหนัก หรือการเอี้ยวหรือบิดตัวมากเกินไป เป็นต้น
การออกกำลังกาย
เมื่อเรายืดกล้ามเนื้อแล้ว ก็ต้องออกกำลังกายควบคู่ไปด้วยทำให้กล้ามเนื้อแข็งแรงขึ้น โดยการออกกำลังกายควรเป็นการออกกำลังกายที่เน้นแกนกลางลำตัว เช่น การแพลงก์ ซิทอัพ หรือการออกกำลังกายกล้ามเนื้อหลังมัดลึก เพื่อเพิ่มความกระชับให้แก่กล้ามเนื้อที่ทำหน้าที่พยุงกระดูกสันหลังและเพิ่มความมั่นคงให้แก่แนวกระดูกสันหลังด้วย
การยืดกล้ามเนื้อ
การนั่งขับรถ มักจะอยู่ในท่าเดิมเป็นเวลานาน จนเกิดความตึงตัวของกล้ามเนื้อและทำให้ร่างกายขาดความยืดหยุ่น จนทำให้เกิดการบาดเจ็บของกล้ามเนื้อได้ เราจึงควรยืดกล้ามเนื้อลำตัว หลัง และขาหลังการขับรถเพื่อให้กล้ามเนื้อเกิดความผ่อนคลายและยังสามารถลดอาการปวดหลังส่วนล่างได้อีกด้วย
อย่างไรก็ตาม นอกจากแนวทางทั้งหมดที่กล่าวมา อีกหนึ่งวิธีที่สำคัญที่จะป้องกันอาการปวดหลังที่ดีที่สุด คือ การออกกําลังกายที่สม่ำเสมอ จะช่วยให้กล้ามเนื้อหลังยืดหยุ่น ผ่อนคลาย เคลื่อนไหวได้อย่างไม่เครียดเกร็ง และช่วยให้กล้ามเนื้อแข็งแรงได้อีกด้วย ทั้งนี้อีกสิ่งที่สำคัญคือไม่ควรปล่อยให้อาการปวดหลังล่างหรือหัวไหล่นี้อยู่นาน ๆ เพราะอาจเกิดอาการเรื้อรังได้ ซึ่งหากผู้ป่วยต้องการหายจากอาการดังกล่าวอย่างถาวร นอกจากจะต้องปรับเปลี่ยนท่านั่งหรือพฤติกรรมการขับรถแล้ว ก็จำเป็นต้องเข้าพบนักกายภาพบำบัดเพื่อเข้ารับการรักษาและชี้แจงเกี่ยวกับอาการปวดของตนเองอย่างสม่ำเสมอ เพื่อผลที่คาดหวังนั่นเอง
การรักษาอาการปวดหลังด้วยการทำ “กายภาพบำบัด”
เป้าหมายของการกายภาพบำบัดรักษาอาการปวดหลัง คือ เพื่อบรรเทาอาการปวด และให้ผู้ป่วยสามารถกลับไปใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติหรือใกล้เคียงปกติที่สุด โดยวิธีการรักษาอาการปวดหลังมีหลายวิธี ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือ การทำกายภาพบำบัด นั่นเอง โดยการรักษาด้วยวิธีนี้จะพิจารณาวิธีการรักษาที่เหมาะสมกับผู้ป่วยแต่ละราย โดยมุ่งเน้นการรักษาที่ต้นเหตุของอาการ รวมถึงบรรเทาอาการเจ็บปวดให้เหลือน้อยที่สุด
การทำกายภาพบำบัดเพื่อรักษาอาการปวดหลัง มีวิธีใดบ้าง?
เป็นวิธีรักษาอาการปวดหลังที่มีความสำคัญและใช้กันอย่างแพร่หลายในการรักษาและฟื้นฟูผู้ป่วยที่มีอาการปวดหลัง การทำกายภาพบำบัดเพื่อลดอาการปวดมีหลายประเภท เช่น
- การใช้ความร้อน โดยการประคบร้อน
- อัลตราซาวด์
- การกระตุ้นด้วยไฟฟ้า
- กายภาพบำบัดด้วยการผ่อนคลายกล้ามเนื้อ
ซึ่งนอกจากนี้ก็ยังรวมไปถึงการปรับปรุงท่าทางการใช้งานหลังของผู้ป่วยในชีวิตประจำวัน หลังจากอาการปวดดีขึ้นแล้ว สิ่งสำคัญที่ควรฝึกตามมา คือ การบริหารและกายภาพบำบัดด้วยตัวเองเพื่อเพิ่มความยืดหยุ่นของกล้ามเนื้อและเส้นเอ็นโดยการนวด ดัด ยืด และฟื้นฟูความแข็งแรงของกล้ามเนื้อหลัง สะโพก และหน้าท้อง ด้วยวิธีการออกกำลังกายของกล้ามเนื้อเฉพาะส่วน เพื่อช่วยป้องกันการกลับเป็นซ้ำ
อย่างไรก็ตาม การทำกายภาพบำบัดรักษาปวดหลัง จะช่วยรักษาอาการปวดหลังได้เป็นอย่างดี เมื่อนักกายภาพบำบัดตรวจร่างกายและหาสาเหตุของอาการปวดหลังได้แล้ว ก็จะเริ่มต้นการรักษาโดยเน้นบรรเทาอาการเจ็บปวดที่หลัง คืนความสมดุลให้แก่ร่างกาย ฟื้นฟูสุขภาพบริเวณหลังให้ดีขึ้น เพื่อให้ประสิทธิภาพในการทำงานของร่างกายกลับมาเป็นปกติได้ดังเดิม
——————————–
ข้อควรระวัง: เนื้อหาในบทความ วีดีโอ ข้อความคิดเห็น มีจุดประสงค์เพื่อให้ความรู้ และสาธิตให้ดูเป็นตัวอย่างเท่านั้น ไม่ได้มีความตั้งใจจัดทำขึ้นเพื่อทดแทนการเข้ารับการตรวจ วิเคราะห์ และการวางแผนการรักษาของผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์ ผู้เข้าชมไม่ควรวินิจฉัย หรือ คาดเดาโรคด้วยตัวเองจากการอ่านบทความ ข้อคิดเห็น หรือ ดูวีดีโอ นี้ คนไข้ควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์ของตนเองเพื่อทราบสาเหตุที่แท้จริงของอาการปวด และเพื่อหลีกเลี่ยงการปวดที่อาจเกิดเพิ่มมากขึ้นในภายหลัง
บทความที่น่าสนใจ
- “ปวดหลังเรื้อรัง” พฤติกรรมที่ทำให้คุณปวดหลังแบบไม่รู้ตัว
- นวดไทย vs กายภาพบำบัด ต่างกันอย่างไร?
- “ฝังเข็ม” วิธีรักษาทางกายภาพบำบัดของโรคออฟฟิศซินโดรม