ออฟฟิศซินโดรม มีกี่ระดับ ควรพบแพทย์ตั้งแต่ระยะไหน?
ออฟฟิศซินโดรม มีกี่ระดับ ? ผู้ประสบปัญหาออฟฟิศซินโดรมหลายคนอาจยังไม่ทราบว่าออฟฟิศซินโดรมนั้นมีหลายระยะบาดเจ็บด้วยกัน แม้จะมีอาการแสดงแค่ความปวด ความเมื่อย แต่แท้จริงแล้วอาการออฟฟิศซินโดรมมีหลายช่วงอาการที่จะส่งผลความรุนแรงแตกต่างกันออกไป ซึ่งสาเหตุที่ทุก ๆ คนต้องทำความเข้าใจกับระยะบาดเจ็บของภาวะนี้ก็เป็นเพราะมันสามารถกลายเป็นอาการเจ็บเรื้อรังได้ ซึ่งจะส่งผลให้รักษายากมากขึ้น ดังนั้น Newton Em Clinic จึงรวบรวมข้อมูลของแต่ละระยะปวดของออฟฟิศซินโดรมมาฝากกัน
ออฟฟิศซินโดรม มีกี่ระดับ รักษาด้วยวิธีไหนและระยะใดจึงจะหายได้แบบถาวร?
ยุคสมัยนี้ โรคออฟฟิศซินโดรม (office syndrome) ดูจะเป็นโรคที่คนยุคใหม่เป็นกันมากพอสมควร ด้วยพฤติกรรมการทำงานและการใช้ชีวิตที่เปลี่ยนไป เราไม่ค่อยเน้นการยืน เดิน เคลื่อนไหว หรือออกแรงเหมือนแต่ก่อน กลายเป็นการนั่งหน้าคอมพิวเตอร์ หรือก้มดูมือถือนาน ๆ แทน ดังนั้นจึงไม่แปลกอะไรที่ออฟฟิศซินโดรมจะกลายเป็นโรคยอดนิยมสำหรับคนในยุคปัจจุบัน อย่างไรก็ดี ตามที่ได้กล่าวไว้ข้างต้นว่าโรคนี้แสดงภาวะอาการออกทาง 3 จุดสำคัญคือ คอ บ่า ไหล่ รวมถึงมีหลายระยะอาการด้วย ดังนั้น จึงเป็นเรื่องที่เราต้องทราบอาการของแต่ละระยะเพื่อที่จะได้เข้าพบแพทย์หรือนักกายภาพบำบัดอย่างทันท่วงทีเพื่อไม่ให้เกิดอาการเรื้อรังนั่นเอง
ออฟฟิศชินโดรม เกิดจาก…
สาเหตุของ “ออฟฟิศชินโดรม” เกิดจากการทำงานอย่างใดอย่างหนึ่งช้ำ ๆเป็นเวลานาน หรืออยู่ในท่าทางการทำงานที่ไม่เหมาะสมต่อเนื่อง แล้วยังอาจเกิดจากปัจจัยอื่นได้ เช่น
- สภาพแวดล้อมหรืออุปกรณ์ในการทำงานที่ไม่เหมาะสม เช่น โต๊ะหรือเก้าอี้ที่ใช้ทำงานสูงหรือต่ำจนเกินไป ไม่เหมาะกับโครงสร้างของร่างกาย เป็นตัน
- สภาพร่างกายอื่น ๆ ที่อาจส่งผลต่ออาการเจ็บป่วย เช่น ความเครียดจากการทำงาน การพักผ่อนที่ไม่เพียง การได้รับสารอาหารไม่ครบ หรือทานอาหารไม่ตรงเวลา เป็นต้น
3 ระยะของออฟฟิศซินโดรมที่วัยทำงานควรทราบ
อวัยวะทั้งหลายถูกกดทับขณะนั่งและใช้งานเป็นประจำ ทำให้เกิดอาการบาดเจ็บได้ง่าย หลายคนอาจต้องเข้าโรงพยาบาลบ่อยด้วยอาการ ‘ออฟฟิศซินโดรม’ ต่างๆ ดังนั้นกันไว้ดีกว่าแก้ มารู้อาการ “ออฟฟิศซินโดรม” 3 ระยะกันว่า จะส่งสัญญาณกลับมาที่ร่างกายอย่างไรบ้าง เพื่อให้คุณรับมือกับอาการได้อย่างทันท่วงที มาเริ่มสังเกตตัวเองกันเลย
ระยะที่ 1 ปวดเบื้องต้น
จุดเริ่มต้นของออฟฟิศซินโดรม มักเกิดขึ้นจากอาการเมื่อยล้าในช่วงเวลาทำงาน บางทีอาจมีอาการปวดตามอวัยวะต่างๆ ร่วมด้วย ซึ่งอาการปวดจะหายไปหลังจากพักร่างกายเป็นระยะเวลาหนึ่ง หรืออาจหายไปเลยอีกทีในช่วงเวลาดึกที่นอนพักผ่อนอยู่ อาการปวดเมื่อยอาจกินเวลาเป็นสัปดาห์หรือนานเป็นเดือน มา ๆ ไป ๆ เป็น ๆ หาย ๆ อยู่อย่างนี้ โดยความเรื้อรังดังกล่าวอาจพัฒนาไปสู่ระยะที่ 2 ที่มีอาการรุนแรงมากกว่าเดิม หากปล่อยปละละเลยสัญญาณอันตรายนี้ไป
ระยะที่ 2 ปวดระดับกลาง
จากระยะแรกเป็นปวดเมื่อยธรรมดา ระยะต่อมาร่างกายจะเริ่มปวดร้าวมากขึ้น เนื่องจากอวัยวะส่งสัญญาณบาดเจ็บออกมา อีกทั้งเมื่อกดไปยังบริเวณที่ปวด อาจมีอาการชาหรืออ่อนแรงตามมา ประสิทธิภาพในการทำงานอาจลดลงตามลำดับ และในระยะนี้อาการจะยังคงค้างอยู่ไม่หายไปไหน แม้ในยามหลับ ตื่น หรือแม้กระทั่งนั่งทำงานก็ตาม และยืนระยะความเจ็บปวดนี้เป็นเวลาหลายเดือน ถ้าไม่รีบแก้ไขเรื่องการทำงาน อาจนำมาสู่ความรุนแรงในระยะที่ 3 หรือปวดขั้นรุนแรงนั่นเอง
ระยะที่ 3 ปวดรุนแรง
เรื่องใหญ่แน่นอน หากอาการปวดลามมาถึงการพักผ่อน จนไม่สามารถนอนหลับได้อย่างเต็มที่ นี่เป็นสัญญาณสุดท้ายที่ร่างกายฟ้องว่า ออฟฟิศซินโดรมได้เข้ามาในชีวิตอย่างเต็มรูปแบบ เพราะอาการปวดจะขัดขวางและรบกวนการนอนไม่ให้เป็นไปอย่างราบรื่น อีกทั้งงานเบาๆ ที่ทำอยู่โดยปกติ ก็ไม่สามารถทำได้อย่างคล่องตัวเหมือนเมื่อก่อน และอาการปวดครั้งนี้อาจยิงยาวไปเป็นปี จนส่งผลถึงการใช้ชีวิตประจำวันในรูปแบบอื่นๆ โดยระยะนี้ ถ้าเป็นแล้ว ขอให้รีบรักษาและจัดการทำงานให้ถูกต้องอย่างเร่งด่วนที่สุด
ควรเข้าพบแพทย์เมื่อไหร่ เริ่มรักษาตั้งแต่ระยะไหนหายง่ายที่สุด?
จากที่กล่าวไปว่าภาวะออฟฟิศซินโดรมนั้นสามารถเกิดเป็นอาการเรื้อรังได้ ซึ่งในจุดนี้เองทำให้ผู้ป่วยต้องเข้ารับการรักษาก่อนที่จะสายไป ซึ่งระยะที่ควรเข้าพบแพทคือช่วงที่ผู้ป่วยเริ่มมีอาการบาดเจ็บซ้ำ ๆ ระหว่างการทำงาน ทุกครั้งที่อาการปวดเมื่อยเริ่มเป็นซ้ำ ๆ ระหว่างทำงาน (ระยะ 1 ปวดเบื้องต้น) นั่นเอง เพราะนี่คือสัญญาณเตือนภัยว่าออฟฟิศซินโดรมกำลังเป็นอันตราย ในระยะนี้ควรพบแพทย์เพื่อปรึกษาและรักษาอาการบาดเจ็บแต่เนิ่น ๆ นั่นเอง
การรักษาออฟฟิศซินโดรมด้วย “เครื่องมือทางกายภาพบำบัด”
การรักษาอาการออฟฟิศซินโดรมด้วยศาสตร์ทางกายภาพบำบัด ร่วมกับการใช้เครื่องมือทันสมัย เป็นเทคโนโลยีใหม่ล่าสุดที่มีประสิทธิภาพสูง โดยทีมนักกายภาพบำบัดมืออาชีพ ผู้เชี่ยวชาญ มีประสบการณ์ เพื่อรักษาผู้ที่มีอาการปวดคอ บ่า ไหล่ ออฟฟิศซินโดรม ซึ่งเป็นการรักษาที่ต้นเหตุ พร้อมทั้งช่วยปรับโครงสร้างร่างกายในส่วนที่มีปัญหา ให้กลับมาอยู่ในตำแหน่งที่ถูกต้องตามหลักกายวิภาคศาสตร์ โดยมีโปรแกรมหลากหลายให้เลือกตามความเหมาะสมกับปัญหาและอาการของแต่ละท่าน
ซึ่งเครื่องมือดังกล่าวก็มีหลากหลายด้วยกัน ซึ่งก็จะถูกนำมาใช้ให้เหมาะสมตามระดับอาการของแต่ละท่านตามที่กล่าวไปข้างต้น ยกตัวอย่างเครื่องมือ เช่น
เครื่องกระตุ้นไฟฟ้า (Electrotherapy)
กระตุ้นกล้ามเนื้อเพื่อให้เกิดการหดตัว ชะลอการลีบเล็กของกล้ามเนื้อ เพิ่มความแข็งแรงและความทนทานของกล้ามเนื้อ เพิ่มการไหลเวียนและลดบวมจากการหดตัวเป็นจังหวะของกล้ามเนื้อ ลดอาการปวดของกล้ามเนื้อ ลดการเกร็งของกล้ามเนื้อ
เครื่องช็อคเวฟ (ShockWave Therapy)
การรักษาด้วยคลื่นกระแทก เหมาะสำหรับการรักษาผู้ที่มีอาการปวดออฟฟิศซินโดรม อาการอักเสบเรื้อรัง รักษามานานยังไม่หาย ซึ่งเป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพ อาการปวดลดลง
เครื่องเลเซอร์กำลังสูง (High Power Laser Therapy)
สำหรับลดอาการปวดออฟฟิศซินโดรม บวมอักเสบของระบบกล้ามเนื้อ ข้อ กระดูกและเส้นเอ็น
เครื่องอัลตราซาวด์ (Ultrasound therapy)
ลดปวด ลดการอักเสบและซ่อมแซมเนื้อเยื่อ ช่วยคลายการเกร็งตัวของกล้ามเนื้อ ลดการยึดตรึงของข้อต่อ รักษาอาการบาดเจ็บของเนื้อเยื่อ และข้อต่อ เอ็นอักเสบ รวมทั้งออฟฟิศซินโดรม
อย่างไรก็ตาม เครื่่องมือดังกล่าวเป็นเพียงส่วนหนึ่งของการรักษาภาวะออฟฟิศซินโดรมด้วยกายภาพบำบัดเท่านั้น เพราะการรักษาโรคออฟฟิศซินโดรมถูกแบ่งออกได้หลายวิธี ไม่ว่าจะเป็นการรักษาด้วยยา การปรับสภาพแวดล้อมในการทำงาน การทำกายภาพบำบัด การออกกำลังกายเพื่อรักษาอาการปวด การรักษาด้วยวิธีทางเลือกอื่น ๆ เช่น การฝังเข็ม การนวดแผนไทย เป็นต้น อย่างไรก็ตาม ผู้ที่มีอาการออฟฟิศซินโดรมควรมาปรึกษาพบแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยหาสาเหตุของอาการ ว่าเกิดจากสาเหตุใด มีภาวะแทรกซ้อนอื่น ๆ หรือไม่ เพื่อให้แพทย์รักษาได้อย่างถูกต้อง เหมาะสมกับอาการของแต่ละบุคคลด้วย
——————————–
ข้อควรระวัง: เนื้อหาในบทความ วิดีโอ ข้อความคิดเห็น มีจุดประสงค์เพื่อให้ความรู้ และสาธิตให้ดูเป็นตัวอย่างเท่านั้น ไม่ได้มีความตั้งใจจัดทำขึ้นเพื่อทดแทนการเข้ารับการตรวจ วิเคราะห์ และการวางแผนการรักษาของผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์ ผู้เข้าชมไม่ควรวินิจฉัย หรือ คาดเดาโรคด้วยตัวเองจากการอ่านบทความ ข้อคิดเห็น หรือ ดูวิดีโอ นี้ คนไข้ควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์ของตนเองเพื่อทราบสาเหตุที่แท้จริงของอาการปวด และเพื่อหลีกเลี่ยงการปวดที่อาจเกิดเพิ่มมากขึ้นในภายหลัง
บทความที่น่าสนใจ
- “ปวดหลังเรื้อรัง” พฤติกรรมที่ทำให้คุณปวดหลังแบบไม่รู้ตัว
- “โรคกระดูกสันหลัง” 4 โรคที่ควรระวังปล่อยไว้อาจส่งผลเสีย
- เครื่องมือกายภาพ 5 แบบมีอะไรบ้างแต่ละแบบรักษาอย่างไร