กดขมับแล้วปวด สัญญาณปวดหัวที่อาจไม่ใช่ไมเกรน
กดขมับแล้วปวด ปวดตึง ๆ ที่ขมับ เชื่อได้ว่าอาการที่กล่าวมา เป็นปัญหาที่หลาย ๆ คนกำลังประสบอยู่ ซึ่งแน่นอนว่าพอปวดขมับ ภาวะปวดหัวที่ทุกคนคิดว่าตัวเองกำลังเผชิญอยู่ต้องเป็นไมเกรนอย่างแน่นอน แต่แท้จริงแล้ว อาการปวดขมับแบบนี้ไม่ได้เกิดจากไมเกรนเสมอไปเพราะอาจมีปัจจัยหลาย ๆ อย่างที่ทำให้เกิดอาการเช่นนี้ขึ้นมาได้เช่นเดียวกัน ซึ่งสาเหตุอื่นที่ว่านั้น จะมีอะไรบ้าง หากพบปัญหานี้แล้วควรทำอย่างไร Newton Em Clinic มีคำตอบมาฝาก
กดขมับแล้วปวด เกิดจากอะไร อันตรายหรือไม่ รักษายังไงให้หาย?
อาการปวดศีรษะเป็นอาการที่พบได้บ่อยและส่งผลให้ใครหลายๆ คนเกิดความรำคาญ และรบกวนในการใช้ชีวิตและการทำงาน แต่หลายคนยังไม่ทราบว่าอาการปวดศีรษะนี้ เป็นอาการปวดศีรษะธรรมดาที่เกิดจากความเครียด หรือเกิดจากอาการปวดศีรษะไมเกรน ซึ่งหนึ่งในลักษณะอาการที่มักแสดงออกมาเมื่อเรามีอาการปวดหัวนั้น ก็คือ “อาการปวดขมับ” นั่นเอง ซึ่งก็สามารถเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ ไม่เพียงแต่การปวดหัวจากไมเกรนเท่านั้น
สาเหตุของการปวดขมับ
อาการปวดขมับอาจจะเกิดเนื่องจาก การอักเสบของกล้ามเนื้อบริเวณรอบๆ ศีรษะ หรือ ปัญหาเรื่องของการหดเกร็งของเส้นเลือดได้ ปัญหาเรื่องของไมเกรน หรือ เป็นเรื่องของความไวของเส้นประสาทรอบ ๆ บริเวณศีรษะทำให้มีอาการปวดได้เช่นกัน
- อาการปวดศีรษะข้างเดียว อาจจะเป็นเรื่องไมเกรน มักจะมีอาการคลื่นไส้อาเจียน ปวดนาน
- ปวดศีรษะแบบคลัสเตอร์ ปวดรุนแรง ปวดรอบๆ กระบอกตา ลามไปขมับด้านใดด้านหนึ่ง
- ปวดศีรษะสองข้าง เกิดจากความเครียด
- ปวดศีรษะจากไซนัส
- ปวดศีรษะจากเส้นประสาท
ซึ่งนี่เป็นสาเหตุหลัก ๆ ที่ทางการแพทย์ได้ทำการระบุเอาไว้ ซึ่งหากใครที่กำลังประสบปัญหานี้อยู่ ควรเข้าพบแพทย์เพื่อทำการวินิจฉัยและทำการรักษาให้ตรงจุด
ลักษณะอาการ
อาการปวดศีรษะจากกล้ามเนื้อตึงตัวพบได้บ่อย มักมีอาการปวดที่ต้นคอ อาจร้าวไปถึงขมับสองข้างหรือปวดทั่วศีรษะ ปวดตื้อ มึน เหมือนอะไรมาบีบมารัด อาการค่อย ๆ เป็น มักเริ่มตอนบ่ายหรือเย็น อาการปวดอาจเป็นชั่วโมง วัน สัปดาห์ เดือน หรือปีก็ได้ ขึ้นอยู่กับความเครียดและการพักผ่อน
“อาการปวดขมับ” อันตรายหรือไม่?
การปวดศีรษะ เป็นอาการที่มีสัดส่วนมากที่สุดที่คนไข้จะเดินเข้ามาในแผนกอายุรกรรมสมอง และระบบประสาท สาเหตุอาจจะเกิดจากการดำเนินชีวิตในสังคมสมัยใหม่ที่เปลี่ยนไป ทุกคนต่างเร่งรีบ อาจมีความเครียดและอดนอน แต่อาการปวดศีรษะไม่ได้เกิดจากแค่ความเครียดหรือการอดนอนก็ได้ อาจจะเป็นอาการนำของโรคอันตรายที่ทำให้พิการหรือเสียชีวิตก็ได้ ซึ่งอาการปวดหัวมีทั้งแบบกลุ่มที่อันตรายและไม่อันตราย โดยการปวดหัวขมับเช่นนี้จัดอยู่ในประเภทที่ไม่อันตรายโดยจะแสดงอาการที่มีรูปแบบเฉพาะ เช่น มีอาการปวดหัวเป็น ๆ หาย ๆ คือจะต้องมีช่วงที่หายสนิทเกิดขึ้น แต่ละโรคก็จะมีระยะเวลาที่แตกต่างกัน โดย ปวดหัว Tension อาจจะปวดได้เป็นวันหรือเป็นสัปดาห์ แล้วก็เป็นใหม่ ขึ้นอยู่กับตัวกระตุ้นด้วย
แนวทางการรักษา
สามารถแบ่งออกได้ 2 ทางหลัก ๆ คือ
1.การปรับพฤติกรรมที่อาจเป็นสิ่งกระตุ้น
เช่น หลีกเลี่ยงสิ่งกระตุ้น ได้แก่ ความเครียด การนอนหลับพักผ่อนไม่เพียงพอ
2. เทคโนโลยีคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า TMS
เทคโนโลยีคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า TMS หรือ การกระตุ้นสมองด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า เป็นอีกทางเลือกหนึ่งในการรักษาอาการปวดศีรษะจากกล้ามเนื้อตึงตัว (Tension Headache) เพื่อลดความรุนแรงของอาการปวดและความถี่ของการกำเริบ
ท่าบริหารง่าย ๆ บรรเทาอาการปวดหัวบีบรัด
สำหรับการออกกำลังกายง่าย ๆ ก็ถือว่าเป็นอีกหนึ่งแนวทางที่ช่วยบรรเทาอาการปวดหัวในลักษณะนี้ได้ ผู้ป่วยสามารถทำตามได้ ดังนี้
การเอียงคอ:
เอียงคอไปทางขวาเข้าหาไหล่ขวา จากนั้นเอียงกลับมาท่าตรง แล้วเอียงคอไปทางซ้ายเข้าหาไหล่ซ้าย จากนั้นเอียงกลับมาท่าตรง
การก้มศีรษะ:
ค่อย ๆ ก้มศีรษะไปข้างหน้าจนคางแตะอก จากนั้นค่อย ๆ เงยศีรษะไปด้านหลังจนสุด
การยืดกล้ามเนื้อคอ:
เกี่ยวมือ 2 ข้างไว้หลังศีรษะโดยให้หลังตรงและเกร็งท้องไว้ โน้มข้อศอกให้เข้าใกล้กันที่สุด โดยกางศอก 2 ข้างแอ่นไปด้านหลังให้มากที่สุด
อย่างไรก็ดี ในการรักษาอาการปวดขมับนั้น นอกจากการรักษาจากการแพทย์แล้ว ควรมีการดูแลตนเองของคนไข้ร่วมด้วย เช่น การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมต่าง ๆ ใครที่เคยนอนดึกก็นอนให้เร็วขึ้น หรือใครที่มีความเครียดได้ง่ายก็อาจจะหาทางในการผ่อนคลายความเครียดนั้น ๆ เพื่อไม่ให้เกิดอาการปวดบีบเช่นนี้ขึ้น เพราะแม้การปวดหัวแบบ Tension จะไม่มีอยู่ในการอาการปวดหัวแบบอันตราย แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าผู้ป่วยควรปล่อยปละละเลยได้ เพราะในอนาคตอาจส่งผลให้เกิดผลเสียได้นั่นเอง
——————————–
ข้อควรระวัง: เนื้อหาในบทความ วิดีโอ ข้อความคิดเห็น มีจุดประสงค์เพื่อให้ความรู้ และสาธิตให้ดูเป็นตัวอย่างเท่านั้น ไม่ได้มีความตั้งใจจัดทำขึ้นเพื่อทดแทนการเข้ารับการตรวจ วิเคราะห์ และการวางแผนการรักษาของผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์ ผู้เข้าชมไม่ควรวินิจฉัย หรือ คาดเดาโรคด้วยตัวเองจากการอ่านบทความ ข้อคิดเห็น หรือ ดูวิดีโอ นี้ คนไข้ควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์ของตนเองเพื่อทราบสาเหตุที่แท้จริงของอาการปวด และเพื่อหลีกเลี่ยงการปวดที่อาจเกิดเพิ่มมากขึ้นในภายหลัง
บทความที่น่าสนใจ
- “ปวดหลังเรื้อรัง” พฤติกรรมที่ทำให้คุณปวดหลังแบบไม่รู้ตัว
- “โรคกระดูกสันหลัง” 4 โรคที่ควรระวังปล่อยไว้อาจส่งผลเสีย
- เครื่องมือกายภาพ 5 แบบมีอะไรบ้างแต่ละแบบรักษาอย่างไร