ตีกอล์ฟแล้วปวดมือ เสี่ยง Golf Wrist Injury หรือไม่ โปรกอล์ฟต้องรู้
“ตีกอล์ฟแล้วปวดมือ” หลายคนอาจคิดว่าเป็นเพียงอาการเมื่อยล้าทั่วไปจากการออกแรง แต่หากอาการนี้เกิดขึ้นซ้ำ ๆ โดยเฉพาะบริเวณข้อมือหรือฝ่ามือ อาจไม่ใช่เรื่องเล็กอย่างที่คิด เพราะอาจเป็นสัญญาณของภาวะที่เรียกว่า Golf Wrist Injury ซึ่งพบได้บ่อยในทั้งนักกอล์ฟมือใหม่และผู้ที่เล่นอย่างต่อเนื่องเป็นประจำ บทความนี้ Newton Em Clinic จะพาทุกคนไปทำความรู้จักกับลักษณะอาการ สาเหตุ และแนวทางป้องกันที่ควรรู้ ก่อนที่ความเจ็บเล็กน้อยจะกลายเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการพัฒนาเกมของเหล่าโปรฯ ในระยะยาว
ตีกอล์ฟแล้วปวดมือ เกิดจากอะไร อันตรายแค่ไหน ควรป้องกันยังไงไม่ให้เกิดผลเสียต่อการตีกอล์ฟในระยะยาว?
อาการปวดมือหลังจากการตีกอล์ฟอาจดูเหมือนเป็นเรื่องเล็กน้อยสำหรับผู้เล่นหลายคน โดยเฉพาะมือใหม่ที่อาจเข้าใจว่าเป็นเพียงอาการเมื่อยล้าตามปกติ แต่หากอาการดังกล่าวเกิดขึ้นซ้ำ ๆ หรือรุนแรงขึ้นโดยไม่มีแนวโน้มดีขึ้น อาจเป็นสัญญาณของภาวะที่เรียกว่า Golf Wrist Injury หรือการบาดเจ็บบริเวณข้อมือจากการเล่นกอล์ฟ ซึ่งส่งผลกระทบได้มากกว่าที่หลายคนคิด ดังนั้น เพื่อเป็นการบรรเทาอาการปวดและป้องกันความเสี่ยงในระยะยาว เราจะมาดูไปพร้อม ๆ กันว่าควรมีการเตรียมตัวหรือป้องกันอย่างไรบ้าง?
ทำความรู้จักกันก่อน “Golf Wrist Injury” คืออะไร
Golf Wrist Injury คืออาการบาดเจ็บที่เกิดขึ้นบริเวณข้อมือและกล้ามเนื้อรอบ ๆ มือ ซึ่งมักเกิดจากการใช้งานข้อมือซ้ำ ๆ อย่างต่อเนื่องในระหว่างการตีกอล์ฟ โดยเฉพาะในจังหวะสวิงที่มีแรงเหวี่ยงและแรงกระแทกสูง อาการบาดเจ็บนี้สามารถเกิดได้ทั้งแบบเฉียบพลัน (Acute Injury) และแบบสะสมเรื้อรัง (Overuse Injury)
ในนักกอล์ฟที่เล่นเป็นประจำ อาการบาดเจ็บมักเกิดจากการเคลื่อนไหวเดิม ๆ ซ้ำไปซ้ำมาด้วยท่าทางที่ไม่เหมาะสม หรือแรงกดดันที่กระทำต่อข้อมืออย่างต่อเนื่องโดยไม่มีการฟื้นฟูที่เพียงพอ ขณะที่ในนักกอล์ฟมือใหม่ มักเกิดจากการจับไม้กอล์ฟผิดวิธี ขาดความรู้ในการวางมือ หรือใช้แรงผิดจุด ทำให้ข้อมือรับแรงกระแทกมากเกินไป
บริเวณที่พบบาดเจ็บได้บ่อย ได้แก่…
- เอ็นข้อมือด้านใน (Flexor tendons) ซึ่งทำหน้าที่งอข้อมือ
- เอ็นข้อมือด้านนอก (Extensor tendons) ซึ่งทำหน้าที่เหยียดข้อมือ
- กระดูกแถวข้อมือ เช่น scaphoid หรือ pisiform ที่อาจเกิดการร้าวหรือบาดเจ็บจากแรงกระแทก
ผู้ที่มีภาวะ Golf Wrist Injury จะมีอาการเจ็บหรืออักเสบบริเวณข้อมือ โดยเฉพาะเมื่อทำท่าทางสวิง หรือขยับข้อมือในลักษณะเดิม ๆ ซึ่งหากไม่ได้รับการดูแลอย่างเหมาะสม อาจพัฒนาไปสู่การอักเสบเรื้อรัง หรือมีพังผืดที่ข้อมือได้
สาเหตุหลักที่ทำให้ปวดมือจากการตีกอล์ฟ
อาการปวดมือจากการเล่นกอล์ฟไม่ใช่เรื่องเล็ก โดยเฉพาะหากเกิดซ้ำหรือนานกว่าปกติ เพราะอาจเป็นผลจากพฤติกรรมหรือเทคนิคการเล่นที่ผิด ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อข้อมือและกล้ามเนื้อที่เกี่ยวข้อง โดยมีสาเหตุหลัก ๆ ดังนี้…
1. การจับไม้กอล์ฟแน่นเกินไป
การจับไม้กอล์ฟแน่นเกินความจำเป็นเป็นพฤติกรรมที่พบได้บ่อยในนักกอล์ฟมือใหม่ หรือผู้ที่พยายามควบคุมวงสวิงให้นิ่ง ซึ่งแม้จะเป็นความตั้งใจที่ดี แต่ส่งผลให้กล้ามเนื้อบริเวณมือและข้อมือเกร็งตลอดเวลา ขาดความยืดหยุ่น ทำให้กล้ามเนื้ออ่อนล้าเร็ว เกิดการอักเสบ และเสี่ยงต่อการฉีกขาดของเส้นเอ็นในระยะยาว
คำแนะนำ: ควรฝึกการจับไม้ให้แน่นพอดี โดยใช้แรงกดประมาณ 5–6 จาก 10 เพื่อให้ข้อมือมีความยืดหยุ่นในการเคลื่อนไหว
2. ท่าทางการสวิงไม่ถูกต้อง
จังหวะการเหวี่ยงไม้กอล์ฟมีผลโดยตรงต่อแรงที่มากระทำต่อข้อมือ หากมีการบิดข้อมือผิดทิศทาง โดยเฉพาะในช่วง Top of the Swing หรือ Impact Moment จะทำให้เกิดแรงบิดสะสมบริเวณข้อมือด้านในหรือด้านนอก และเสี่ยงต่อการบาดเจ็บของเส้นเอ็นรอบ ๆ ข้อมือโดยไม่รู้ตัว
คำแนะนำ: ฝึกเทคนิคการเหวี่ยงไม้ให้ถูกต้อง โดยปรึกษาโปรกอล์ฟหรือโค้ช เพื่อปรับรูปแบบวงสวิงให้เหมาะกับสรีระ
3. การฝึกหนักเกินโดยไม่มีการพักฟื้น
แม้การฝึกฝนจะเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับพัฒนาฝีมือ แต่การฝึกต่อเนื่องหลายชั่วโมงหรือหลายรอบโดยไม่มีช่วงพักฟื้น อาจส่งผลให้กล้ามเนื้อรอบข้อมืออ่อนล้าเกินกำลัง และเกิดการอักเสบสะสม โดยเฉพาะในผู้ที่ฝึกตีกอล์ฟบนพื้นแข็งหรือพื้นหญ้าเทียมที่ไม่มีแรงดูดซับแรงกระแทก
คำแนะนำ: ควรจัดตารางฝึกให้มีวันพัก หรือสลับกับการฝึกที่เน้นการยืดเหยียดหรือการฟื้นฟูข้อมือ
4. การปะทะพื้น (Turf Impact)
การตีไม้ลงพื้นก่อนโดนลูก หรือที่เรียกว่า “Fat Shot” เป็นอีกสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดแรงกระแทกโดยตรงไปยังข้อมือและแขน โดยเฉพาะในพื้นสนามที่แข็งหรือแห้ง การกระแทกดังกล่าวไม่เพียงทำให้เกิดอาการเจ็บทันที แต่ยังสามารถสร้างความเสียหายสะสมต่อเอ็นและข้อต่อในระยะยาว
คำแนะนำ: ตรวจสอบการยืน ระยะลูก และระนาบวงสวิงว่าอยู่ในระดับที่ถูกต้อง เพื่อหลีกเลี่ยงการตีลงพื้นโดยไม่จำเป็น
อย่างไรก็ตาม แม้อาการปวดมือหลังจากตีกอล์ฟจะพบได้บ่อย แต่หากละเลยหรือมองว่าเป็นเพียงความล้าเล็กน้อย อาจนำไปสู่การบาดเจ็บเรื้อรังที่ส่งผลต่อการเล่นและสุขภาพข้อมือในระยะยาวได้ การเข้าใจถึงสาเหตุหลัก เช่น การจับไม้แน่นเกินไป วงสวิงที่ไม่ถูกต้อง การฝึกหนักโดยไม่พัก หรือการตีไม้กระแทกพื้น ล้วนเป็นปัจจัยที่สามารถปรับปรุงและป้องกันได้
หากเริ่มรู้สึกปวดหรือมีอาการผิดปกติ ควรหยุดพักและพิจารณาปรับพฤติกรรมการเล่น รวมถึงหมั่นสังเกตอาการและปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ เพื่อหลีกเลี่ยงการบาดเจ็บที่รุนแรงในอนาคต เพราะข้อมือที่แข็งแรงและเทคนิคที่ถูกต้อง คือกุญแจสำคัญของเกมกอล์ฟที่ปลอดภัยในระยะยาว
อาการที่ควรสังเกตหลังจากการออกรอบ
อาการบาดเจ็บจากการตีกอล์ฟ โดยเฉพาะในรูปแบบของ Golf Wrist Injury มักเริ่มจากอาการเล็กน้อยที่หลายคนมองข้าม แต่หากไม่ใส่ใจอาจลุกลามจนกลายเป็นอาการเรื้อรังที่รักษาได้ยาก ดังนั้นการสังเกตอาการเบื้องต้นจึงเป็นสิ่งสำคัญ โดยมีสัญญาณที่ควรระวัง ดังนี้…
- ปวดบริเวณข้อมือหรือมือ โดยเฉพาะบริเวณด้านใน (ฝ่ามือ) หรือด้านนอก (หลังมือ) ซึ่งอาจเกิดหลังจากการเล่นกอล์ฟไม่นาน หรือขณะเหวี่ยงไม้ในลักษณะเดิม ๆ
- มีอาการบวม แดง หรือรู้สึกอุ่น บริเวณที่ปวด เป็นสัญญาณของการอักเสบหรือบาดเจ็บภายในเนื้อเยื่อหรือเอ็นรอบข้อมือ
- มีเสียง “คลิ๊ก” หรือ “กริ๊ก” เมื่อขยับข้อมือ หรือเคลื่อนไหวในบางทิศทาง อาจเป็นอาการของเส้นเอ็นเสียดสีกับโครงสร้างกระดูกหรือพังผืด
- ข้อมืออ่อนแรง รู้สึกจับของหรือจับไม้กอล์ฟได้ไม่แน่นเหมือนเดิม หยิบจับของหล่น หรือสวิงไม้แล้วขาดความมั่นคง
- มีอาการชา หรือเจ็บแปลบ ร่วมด้วยในบางกรณี โดยเฉพาะถ้ามีการกดทับเส้นประสาทข้อมือ
ทั้งนี้ หากมีอาการเหล่านี้เกิดขึ้นต่อเนื่องเกิน 2–3 วัน โดยไม่ทุเลา ควรหยุดพักการเล่นกอล์ฟทันที และ เข้ารับการตรวจวินิจฉัยจากแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญด้านกล้ามเนื้อ เพื่อประเมินระดับการบาดเจ็บอย่างถูกต้อง เพราะหากปล่อยไว้ อาจเสี่ยงต่ออาการเรื้อรัง เช่น เอ็นอักเสบ, เอ็นฉีกขาด, หรือ ภาวะพังผืดรัดเส้นประสาท (Carpal Tunnel Syndrome) ซึ่งอาจกระทบต่อการเล่นในระยะยาวยนั่นเอง
วิธีป้องกันและดูแลเบื้องต้น
การป้องกัน Golf Wrist Injury หรืออาการปวดข้อมือจากการตีกอล์ฟนั้นสามารถทำได้ตั้งแต่ก่อนเริ่มเล่น โดยเน้นการปรับพฤติกรรมและเทคนิคที่ถูกต้อง พร้อมดูแลมือให้ฟื้นฟูอย่างเพียงพอ โดยแนวทางการดูแลมีดังนี้…
1. อบอุ่นร่างกายก่อนเล่น
การวอร์มอัพอย่างเหมาะสมช่วยให้กล้ามเนื้อและเอ็นรอบข้อมือยืดหยุ่นขึ้น ลดความเสี่ยงของการบาดเจ็บ โดยเฉพาะการ ยืดเหยียดข้อมือ แขน และหัวไหล่ ควรทำเป็นประจำทุกครั้งก่อนการฝึกซ้อมหรือการแข่งขัน
2. เรียนรู้เทคนิคการจับไม้และสวิงที่ถูกต้อง
เทคนิคการจับไม้กอล์ฟที่เหมาะสมจะช่วยลดแรงกดและแรงบิดที่มากระทำต่อข้อมือ โดยเฉพาะมือที่ใช้กำลังนำไม้ ควรปรึกษา โปรกอล์ฟหรือโค้ช เพื่อปรับท่าทางการจับ การหมุนข้อมือ และจังหวะการตีให้เหมาะสมกับสรีระของตนเอง
3. หลีกเลี่ยงการฝึกหนักเกินในระยะเวลาใกล้กัน
การฝึกฝนอย่างต่อเนื่องโดยไม่ให้เวลาข้อมือพัก อาจทำให้เกิดอาการอักเสบหรือบาดเจ็บสะสมได้ง่าย ควรมีวันพักอย่างน้อย 1–2 วัน/สัปดาห์ และหลีกเลี่ยงการตีไม้จำนวนมากภายในวันเดียวกันโดยไม่มีการยืดกล้ามเนื้อสลับ
4. สวมอุปกรณ์ป้องกันข้อมือ
อุปกรณ์อย่าง Wrist Support, Wrist Wraps หรือ ถุงมือซัพพอร์ตสำหรับกอล์ฟ จะช่วยลดแรงกระแทกและแรงบิดจากวงสวิง รวมถึงช่วยประคองข้อมือให้อยู่ในตำแหน่งที่ปลอดภัยขณะตีไม้ โดยเฉพาะในผู้ที่มีประวัติบาดเจ็บมาก่อน
5. ประคบเย็นเมื่อรู้สึกเจ็บในช่วงแรก
หากเริ่มรู้สึกเจ็บหรือปวดข้อมือหลังจากตีกอล์ฟ ควร ประคบเย็นภายใน 24–48 ชั่วโมงแรก เพื่อช่วยลดการอักเสบและบวม โดยใช้น้ำแข็งห่อผ้าบาง ๆ ประคบบริเวณที่ปวดครั้งละ 15–20 นาที วันละ 2–3 ครั้ง
6. พักการใช้งานมือทันทีหากมีอาการปวดเฉียบพลัน
หากรู้สึกปวดข้อมือทันทีหลังจากเหวี่ยงไม้ หรือมีอาการเจ็บแปลบ ควร หยุดกิจกรรมทันที และไม่พยายามฝืนตีต่อ เพราะอาจทำให้เกิดการบาดเจ็บซ้ำซ้อน และยืดระยะเวลาการรักษาให้ยาวนานขึ้น
อย่างไรก็ดี จากที่กล่าวมาทั้งหมด นักกีฬาทุกคนจะเห็นได้แล้วว่า การดูแลข้อมือให้แข็งแรงและรู้จักเทคนิคที่ถูกต้องตั้งแต่แรกเริ่ม คือหัวใจสำคัญในการป้องกัน Golf Wrist Injury การใส่ใจทั้งก่อน ระหว่าง และหลังการเล่น จะช่วยลดความเสี่ยงของการบาดเจ็บได้อย่างมีประสิทธิภาพ หากรู้สึกผิดปกติอย่าฝืน ควรหยุดพักทันทีเพื่อป้องกันปัญหาเรื้อรัง การดูแลมืออย่างเหมาะสม จะช่วยให้นักกอล์ฟทุกคนสามารถพัฒนาเกมได้อย่างต่อเนื่องและปลอดภัย
สรุปข้อควรรู้เกี่ยวกับ “อาการปวดข้อมือหลังตกอล์ฟ”
การตีกอล์ฟแม้จะเป็นกีฬาที่ดูนุ่มนวลและไม่ต้องออกแรงมากเหมือนกีฬาประเภทอื่น แต่ก็มีความเสี่ยงที่จะบาดเจ็บได้ โดยเฉพาะบริเวณมือและข้อมือ ผู้เล่นควรใส่ใจต่อสัญญาณของร่างกาย หากมีอาการปวดมือซ้ำ ๆ หลังเล่นกอล์ฟ อย่ามองข้าม เพราะอาจเป็นสัญญาณเริ่มต้นของ Golf Wrist Injury ที่ต้องได้รับการดูแลอย่างเหมาะสม เพื่อให้คุณสามารถกลับมาเล่นกอล์ฟได้อย่างมั่นใจ ปลอดภัย และต่อเนื่องในระยะยาว
——————————–
ข้อควรระวัง: เนื้อหาในบทความ วีดีโอ ข้อความคิดเห็น มีจุดประสงค์เพื่อให้ความรู้ และสาธิตให้ดูเป็นตัวอย่างเท่านั้น ไม่ได้มีความตั้งใจจัดทำขึ้นเพื่อทดแทนการเข้ารับการตรวจ วิเคราะห์ และการวางแผนการรักษาของผู้มีประสบการณ์ทางการแพทย์ ผู้เข้าชมไม่ควรวินิจฉัย หรือ คาดเดาโรคด้วยตัวเองจากการอ่านบทความ ข้อคิดเห็น หรือ ดูวีดีโอ นี้ คนไข้ควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์ของตนเองเพื่อทราบสาเหตุที่แท้จริงของอาการปวด และเพื่อหลีกเลี่ยงการปวดที่อาจเกิดเพิ่มมากขึ้นในภายหลัง
บทความที่น่าสนใจ
- ปวดเอวเวลานอน-สาเหตุการนอนไม่หลับ แก้ยังไงดี
- “ปวดหลังเรื้อรัง” 6 พฤติกรรมที่ทำให้คุณปวดหลังแบบไม่รู้ตัว
- “ฝังเข็ม” วิธีรักษาทางกายภาพบำบัดของโรคออฟฟิศซินโดรม