เล่นกอล์ฟ ปวดหลัง ต้องแก้ให้หาย เพราะฝืนเล่นต่ออาจทำให้ปวดเรื้อรัง!
“เล่นกอล์ฟ ปวดหลัง” ปัญหาที่นักกอล์ฟหลายคนมองข้าม เพราะคิดว่าแค่ปวดเล็กน้อยเดี๋ยวก็หาย แต่รู้ไหมว่าอาการปวดหลังจากการสวิงไม้ หากปล่อยไว้นานโดยไม่รักษาอย่างถูกวิธี อาจกลายเป็นอาการเรื้อรังที่รบกวนการใช้ชีวิตประจำวัน และทำให้ประสิทธิภาพในการเล่นลดลงโดยไม่รู้ตัว บทความนี้จะพาคุณมาทำความเข้าใจว่าทำไมการเล่นกอล์ฟถึงทำให้ปวดหลัง พร้อมแนะแนวทางแก้ไขและป้องกัน เพื่อให้นักกีฬาทุกคนสามารถออกรอบได้อย่างมั่นใจและปลอดภัยในระยะยาว
เล่นกอล์ฟ ปวดหลัง เกิดจากอะไร และควรรักษายังไงให้อาการดีขึ้น?
กีฬากอล์ฟเป็นกิจกรรมยอดนิยมที่ให้ทั้งความสนุก ความท้าทาย และช่วยเสริมสร้างสมาธิ แต่หลายคนกลับพบว่า “เล่นกอล์ฟแล้วปวดหลัง” กลายเป็นปัญหากวนใจที่รบกวนทั้งการเล่นและการใช้ชีวิตประจำวัน หากฝืนเล่นต่อไปโดยไม่รักษาให้ถูกวิธี อาการปวดหลังจากตีกอล์ฟอาจลุกลามจนกลายเป็น “อาการปวดเรื้อรัง” ได้ในที่สุด ซึ่งบทความนี้ Newton Em Clinic จะพาทุกคนมารู้เท่าทันสาเหตุของอาการปวดหลังจากการเล่นกอล์ฟ พร้อมแนะนำแนวทางการป้องกันและการดูแลรักษาอย่างถูกวิธี เพื่อให้เหล่านักกีฬาสามารถกลับมาเล่นกอล์ฟได้อย่างมั่นใจอีกครั้ง
ทำไม “ตีกอล์ฟ” ถึงทำให้ปวดหลัง?
แม้กอล์ฟจะดูเหมือนกีฬาเบา ๆ ไม่ต้องออกแรงมาก แต่ในความเป็นจริง การสวิงไม้กอล์ฟต้องอาศัยการบิดตัว การหมุนลำตัว และการใช้กล้ามเนื้อแกนกลางลำตัว (Core Muscle) อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะบริเวณหลังส่วนล่าง (Lower back) ซึ่งเป็นจุดที่รับแรงหมุนมากที่สุด
สาเหตุหลักที่ทำให้เกิดอาการปวดหลังหลังเล่นกอล์ฟ ได้แก่…
- ท่าทางในการสวิงไม่ถูกต้อง การใช้ท่าสวิงที่ผิดหรือบิดตัวมากเกินไปส่งผลให้กล้ามเนื้อหลังทำงานหนักเกินจำเป็น
- กล้ามเนื้อแกนกลางลำตัวไม่แข็งแรง หาก Core Muscle อ่อนแรง จะทำให้หลังรับภาระมากขึ้น เพิ่มความเสี่ยงต่อการบาดเจ็บ
- Warm up ไม่เพียงพอ โดยนักกอล์ฟหลายคนมักละเลยการวอร์มอัพหรือยืดเหยียดร่างกายก่อนออกรอบ ส่งผลให้กล้ามเนื้อหลังตึงและเกิดการบาดเจ็บได้ง่าย
- เล่นบ่อยเกินไปโดยไม่พัก การเล่นกอล์ฟต่อเนื่องหลายวันโดยไม่ให้ร่างกายได้พัก อาจสะสมอาการบาดเจ็บและกลายเป็นอาการปวดเรื้อรังในที่สุด
อย่างไรก็ตาม การตีกอล์ฟแม้ดูไม่หนัก แต่ต้องใช้การหมุนลำตัวและกล้ามเนื้อหลังอย่างต่อเนื่อง หากท่าสวิงไม่ถูกต้อง หรือไม่ได้วอร์มอัพก่อนเล่น ก็อาจนำไปสู่อาการปวดหลังได้ง่าย โดยเฉพาะในคนที่กล้ามเนื้อแกนกลางลำตัวไม่แข็งแรง ยิ่งฝืนเล่นต่อโดยไม่พักหรือดูแลให้ถูกวิธี อาการก็อาจพัฒนาเป็นการบาดเจ็บเรื้อรังที่รักษายากขึ้นในอนาคต
อาการแบบไหนที่ควรหยุดเล่นแล้วรีบหาวิธีแก้?
สำหรับอาการที่เหล่านักกีฬาควรสังเกตตนเองและควรหาวิธีแก้หากมีอาการดังกล่าว มักประกอบด้วยอาการต่าง ๆ ดังนี้…
- ปวดบริเวณหลังส่วนล่างขณะสวิงหรือหลังออกรอบ
- รู้สึกตึง เจ็บ หรือชาไปที่ขา (อาจเป็นอาการของหมอนรองกระดูกกดทับเส้นประสาท)
- ปวดร้าวขึ้นไปที่สะบักหรือไหล่จากการใช้กล้ามเนื้อหลังมากเกินไป
- อาการปวดไม่หายแม้พักแล้วหลายวัน
อย่างไรก็ตาม หากมีอาการเหล่านี้ ไม่ควรฝืนเล่นกอล์ฟต่อ เพราะอาจทำให้เกิดการบาดเจ็บลึกหรือพัฒนาเป็นอาการปวดเรื้อรังได้
วิธีแก้อาการปวดหลังจากเล่นกอล์ฟอย่างถูกวิธีที่เหล่านักกอล์ฟควรรู้
อาการปวดหลังหลังจากเล่นกอล์ฟเป็นปัญหาที่นักกอล์ฟหลายคนต้องเผชิญ โดยเฉพาะผู้ที่เล่นเป็นประจำแต่ขาดการวอร์มอัพ หรือมีท่าทางการสวิงที่ไม่เหมาะสม แม้อาการปวดในระยะแรกอาจดูเหมือนไม่รุนแรง แต่หากไม่รีบดูแลอย่างถูกวิธี ก็อาจพัฒนาเป็นอาการเรื้อรังที่ส่งผลต่อการใช้ชีวิตและการเล่นกีฬาในระยะยาวได้ ดังนั้น การแก้ไขและฟื้นฟูอย่างถูกหลักจึงเป็นสิ่งสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม โดยแนวทางการรักษาจะประกอบด้วย…
1.พักและประคบเย็นทันทีหลังรู้สึกปวด
เมื่อรู้สึกปวดหลังหลังจากเล่นกอล์ฟ ควรหยุดกิจกรรมทันทีและหลีกเลี่ยงการฝืนเคลื่อนไหวต่อ เพราะอาจทำให้กล้ามเนื้อหรือข้อต่อเกิดการอักเสบมากขึ้น ขั้นตอนแรกที่แนะนำคือการประคบเย็นในบริเวณที่รู้สึกปวด เช่น หลังส่วนล่าง หรือจุดที่มีอาการบาดเจ็บ โดยสามารถใช้ถุงเจลเย็น ผ้าขนหนูห่อน้ำแข็ง หรือแผ่นประคบเย็นวางบนผิวหนังบริเวณที่เจ็บประมาณ 15–20 นาที วิธีนี้จะช่วยลดการอักเสบเฉียบพลัน บรรเทาอาการบวม และลดความเจ็บปวดได้ในระยะเริ่มต้น ควรทำทุก 2–3 ชั่วโมงในช่วง 24–48 ชั่วโมงแรกหลังมีอาการ
2.เข้ารับการประเมินจากผู้เชี่ยวชาญด้านกายภาพบำบัด
หากอาการปวดหลังไม่ดีขึ้นภายใน 2–3 วัน หรือเริ่มมีอาการร้าว ชา หรือปวดลึก ควรเข้ารับการประเมินจากนักกายภาพบำบัดโดยเร็ว ผู้เชี่ยวชาญจะตรวจดูท่าทางขณะสวิง จุดที่มีการใช้งานกล้ามเนื้อผิดปกติ ตลอดจนโครงสร้างร่างกายที่อาจส่งผลต่ออาการปวด เช่น ความตึงของกล้ามเนื้อ การทำงานของข้อต่อ และความแข็งแรงของแกนกลางลำตัว จากนั้นจะวางแผนการรักษาและออกแบบโปรแกรมฟื้นฟูเฉพาะบุคคล เช่น การยืดเหยียดเฉพาะจุด การฟื้นฟูการเคลื่อนไหวที่เหมาะสม และการเสริมสร้างกล้ามเนื้อเพื่อป้องกันการกลับมาเป็นซ้ำ
3.เสริมสร้างกล้ามเนื้อแกนกลางลำตัวและกล้ามเนื้อหลังให้แข็งแรง
การมีกล้ามเนื้อแกนกลางลำตัว (Core muscle) และกล้ามเนื้อหลังที่แข็งแรง จะช่วยรองรับแรงที่เกิดขึ้นระหว่างการสวิง และลดภาระที่ตกลงบนกระดูกสันหลังได้เป็นอย่างดี การออกกำลังกายเพื่อเสริมสร้างกล้ามเนื้อกลุ่มนี้ควรทำอย่างสม่ำเสมอและถูกต้อง ตัวอย่างท่าฝึกที่เหมาะสม เช่น
- Plank: ช่วยบริหารกล้ามเนื้อหน้าท้อง กล้ามเนื้อหลังส่วนล่าง และไหล่
- Bridge: เสริมสร้างกล้ามเนื้อสะโพกและหลังส่วนล่าง ซึ่งสำคัญต่อการควบคุมการเคลื่อนไหวระหว่างสวิง
- Pilates: เป็นการออกกำลังกายที่เน้นควบคุมการหายใจร่วมกับการเคลื่อนไหวแบบมีประสิทธิภาพ เหมาะสำหรับนักกอล์ฟที่ต้องการเสริมสร้างความมั่นคงและความยืดหยุ่นในเวลาเดียวกัน
ควรฝึกภายใต้การแนะนำของผู้เชี่ยวชาญเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ปลอดภัยและเหมาะสมกับสภาพร่างกายแต่ละบุคคล
4.ฝึกท่าสวิงกับโปรฯ อย่างถูกหลักชีวกลศาสตร์
หนึ่งในสาเหตุหลักที่ทำให้นักกอล์ฟหลายคนมีอาการปวดหลัง คือการใช้ท่าสวิงที่ไม่เหมาะสมกับสรีระของตนเอง เช่น การบิดตัวมากเกินไป หรือการออกแรงผิดจังหวะซ้ำ ๆ การเรียนรู้จากโปรฯ หรือครูสอนกอล์ฟมืออาชีพจะช่วยให้คุณเข้าใจหลักชีวกลศาสตร์ของการสวิงที่ถูกต้อง ไม่ว่าจะเป็นตำแหน่งการยืน การหมุนลำตัวอย่างสมดุล หรือการใช้แรงจากสะโพกแทนหลังส่วนล่าง นอกจากนี้ยังช่วยให้คุณปรับการเคลื่อนไหวให้เหมาะกับรูปร่างและจุดแข็งของตัวเอง ซึ่งไม่เพียงช่วยลดอาการบาดเจ็บ แต่ยังพัฒนาฝีมือในการเล่นกอล์ฟอีกด้วย
5.ทำสรีรบำบัด หรือฟื้นฟูกล้ามเนื้อด้วยวิธีเฉพาะทาง
หากอาการปวดหลังมีสาเหตุจากกล้ามเนื้อตึงเรื้อรัง ข้อต่อขาดความยืดหยุ่น หรือมีการอักเสบซ่อนเร้น การทำสรีรบำบัด (Physical Therapy Treatment) หรือเทคนิคการฟื้นฟูเฉพาะทางจะช่วยฟื้นฟูร่างกายอย่างลึกถึงต้นเหตุ ตัวอย่างวิธีที่ใช้บ่อย ได้แก่…
- TENS (Transcutaneous Electrical Nerve Stimulation): การใช้คลื่นไฟฟ้าอ่อน ๆ กระตุ้นเส้นประสาทเพื่อลดอาการเจ็บปวด
- อัลตราซาวด์บำบัด: ส่งคลื่นเสียงความถี่สูงเข้าสู่เนื้อเยื่อกล้ามเนื้อเพื่อลดการอักเสบและกระตุ้นการไหลเวียนเลือด
- Manual Therapy: เทคนิคการใช้มือเพื่อคลายกล้ามเนื้อที่ตึง บรรเทาอาการตึงของข้อต่อ และปรับสมดุลของกลไกการเคลื่อนไหว
โดยทั้งหมดนี้ควรดำเนินการโดยนักกายภาพบำบัดที่มีประสบการณ์ เพื่อให้มั่นใจว่าการรักษาได้ผลดีและไม่กระทบต่อโครงสร้างอื่น ๆ ในร่างกาย
การดูแลอาการปวดหลังหลังตีกอล์ฟไม่ควรหยุดแค่การพัก แต่ควรฟื้นฟูให้ตรงจุดและปลอดภัย ตั้งแต่การประคบเย็นเพื่อลดการอักเสบ ไปจนถึงการฝึกกล้ามเนื้อและปรับท่าทางร่วมกับผู้เชี่ยวชาญ ทั้งหมดนี้จะช่วยให้ร่างกายฟื้นตัวอย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมกลับไปตีกอล์ฟได้อย่างมั่นใจและปลอดภัยยิ่งขึ้นในระยะยาว
ป้องกันไม่ให้ “ปวดหลังเรื้อรัง” จากการเล่นกอล์ฟ
แม้กอล์ฟจะเป็นกีฬาที่ดูเหมือนใช้แรงน้อย แต่จริง ๆ แล้วทุกการสวิงต้องใช้กล้ามเนื้อหลายมัดทำงานร่วมกัน โดยเฉพาะกล้ามเนื้อแกนกลางลำตัว กล้ามเนื้อหลัง สะโพก และหัวไหล่ หากใช้ท่าไม่เหมาะสมหรือฝึกอย่างต่อเนื่องโดยไม่มีการดูแลที่ดีเพียงพอ อาจนำไปสู่อาการ “ปวดหลังเรื้อรัง” ได้ ซึ่งมักเกิดขึ้นโดยไม่ทันตั้งตัวและรักษาให้หายขาดได้ยาก ดังนั้นการป้องกันตั้งแต่เนิ่น ๆ จึงสำคัญมาก โดยคุณสามารถดูแลตัวเองได้ด้วยวิธีต่อไปนี้…
- วอร์มอัพและยืดเหยียดกล้ามเนื้อก่อนและหลังเล่นทุกครั้ง
การวอร์มอัพ (Warm-up) เป็นขั้นตอนที่ขาดไม่ได้ เพราะจะช่วยเพิ่มการไหลเวียนเลือดเข้าสู่กล้ามเนื้อ ทำให้กล้ามเนื้อและข้อต่อพร้อมสำหรับการเคลื่อนไหวที่ซับซ้อนและรวดเร็วอย่างการสวิงกอล์ฟ แนะนำให้วอร์มอัพเบา ๆ เช่น การเดินเร็ว หมุนสะโพก บิดตัวเบา ๆ หรือฝึกวงสวิงช้า ๆ ก่อนลงสนาม
หลังเล่นควรยืดเหยียดกล้ามเนื้อ (Cool-down Stretching) โดยเน้นที่กล้ามเนื้อหลัง สะโพก ไหล่ และเอ็นร้อยหวาย เพื่อช่วยคลายความตึง ลดกรดแลคติกสะสม และป้องกันการตึงสะสมที่อาจก่อให้เกิดอาการปวดเรื้อรังในอนาคต ควรทำอย่างน้อย 5–10 นาทีหลังจบเกม - อย่าเล่นติดต่อกันหลายวันโดยไม่พัก ควรให้กล้ามเนื้อได้ฟื้นตัว
การเล่นกอล์ฟทุกวันโดยไม่เว้นวันพักอาจดูเหมือนช่วยให้ฝีมือดีขึ้น แต่ในความเป็นจริงร่างกายต้องการ “เวลาในการฟื้นตัว” (Recovery Time) เพื่อซ่อมแซมกล้ามเนื้อที่ถูกใช้งานหนัก หากไม่มีวันพัก กล้ามเนื้ออาจอ่อนล้า ข้อต่ออักเสบ หรือเกิดอาการตึงสะสม ซึ่งนำไปสู่อาการบาดเจ็บสะสม เช่น ปวดหลังเรื้อรังได้โดยไม่รู้ตัว
แนะนำให้เว้นวันฝึกอย่างน้อย 1–2 วันต่อสัปดาห์ โดยในวันที่พักสามารถทำกิจกรรมเบา ๆ เช่น โยคะ ว่ายน้ำ หรือเดินช้า ๆ เพื่อกระตุ้นระบบไหลเวียนเลือดโดยไม่กดกล้ามเนื้อซ้ำซ้อน - ใช้เครื่องมือพยุงหลัง (Back Support) เฉพาะกรณีที่ได้รับคำแนะนำจากแพทย์
แม้ Back Support หรือเข็มขัดพยุงหลังจะดูเหมือนช่วยลดแรงกดและความปวดขณะเล่น แต่การใช้อย่างไม่ถูกวิธีหรือใช้นานเกินไปอาจส่งผลเสียมากกว่าผลดี เช่น ทำให้กล้ามเนื้อหลังทำงานน้อยลงและอ่อนแรงเมื่อใช้งานต่อเนื่อง ดังนั้นควรใช้เฉพาะเมื่อมีคำแนะนำจากแพทย์หรือนักกายภาพบำบัดเท่านั้น โดยมักแนะนำให้ใช้ในช่วงที่อยู่ระหว่างการฟื้นฟู หรือกรณีที่มีอาการปวดชัดเจนจากโรคกระดูกสันหลัง เช่น หมอนรองกระดูกทับเส้น ทั้งนี้ หากรู้สึกปวดหรือไม่มั่นคงขณะเล่น ควรรีบเข้าพบผู้เชี่ยวชาญก่อนตัดสินใจพึ่งอุปกรณ์ช่วยพยุง - เลือกอุปกรณ์กอล์ฟให้เหมาะกับส่วนสูงและแรงสวิงของตัวเอง
การเลือกไม้กอล์ฟที่ไม่เหมาะสม เช่น ยาวเกินไป หนักเกินไป หรือหัวไม้มีองศาที่ไม่สอดคล้องกับการสวิงของคุณ อาจทำให้ต้องชดเชยด้วยการเคลื่อนไหวผิดธรรมชาติ ซึ่งนำไปสู่แรงกดที่ผิดจุด โดยเฉพาะที่บริเวณหลังส่วนล่าง ทั้งนี้ ขอแนะนำให้นักกีฬาเข้ารับการฟิตติ้งไม้กอล์ฟ (Golf Club Fitting) กับผู้เชี่ยวชาญก่อนการฝึกเล่น ซึ่งจะวัดความสูง ความยาวแขน ท่าทางการยืน และสวิงสปีดของคุณ เพื่อเลือกไม้ที่เหมาะสมที่สุด ส่งผลให้คุณเล่นได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นและลดความเสี่ยงต่ออาการปวดหลังเรื้อรัง
ทั้งนี้ การเล่นกอล์ฟอย่างต่อเนื่องโดยไม่ดูแลร่างกายให้ดี อาจนำไปสู่อาการปวดหลังเรื้อรังได้โดยไม่รู้ตัว การวอร์มอัพ ยืดเหยียด และเว้นวันพักถือเป็นพื้นฐานที่ควรทำทุกครั้ง ควบคู่กับการเลือกอุปกรณ์ให้เหมาะสมกับสรีระ และใช้อุปกรณ์พยุงหลังเมื่อจำเป็น การดูแลตนเองอย่างรอบด้านตั้งแต่ต้น จะช่วยให้ทุกคนเล่นกอล์ฟได้อย่างยั่งยืนและปลอดภัยในระยะยาวอีกด้วย
ท้ายที่สุด ขอเน้นย้ำอีกครั้งว่า อาการ “ปวดหลังจากเล่นกอล์ฟ” เป็นเรื่องที่ไม่ควรมองข้าม โดยเฉพาะหากเริ่มรู้สึกปวดบ่อย ๆ หลังออกรอบ ควรหาสาเหตุและแก้ไขให้ตรงจุด ไม่ควรฝืนเล่นต่อ เพราะอาจพัฒนาไปสู่อาการปวดเรื้อรังหรือบาดเจ็บรุนแรงที่ยากต่อการรักษา การดูแลตัวเองอย่างถูกวิธีตั้งแต่วันนี้ จะช่วยให้ทุกคนสามารถเล่นกอล์ฟได้อย่างต่อเนื่อง ปลอดภัย และสนุกไปกับกีฬาที่รักของทุกคนได้ในระยะยาว
——————————–
ข้อควรระวัง: เนื้อหาในบทความ วีดีโอ ข้อความคิดเห็น มีจุดประสงค์เพื่อให้ความรู้ และสาธิตให้ดูเป็นตัวอย่างเท่านั้น ไม่ได้มีความตั้งใจจัดทำขึ้นเพื่อทดแทนการเข้ารับการตรวจ วิเคราะห์ และการวางแผนการรักษาของผู้มีประสบการณ์ทางการแพทย์ ผู้เข้าชมไม่ควรวินิจฉัย หรือ คาดเดาโรคด้วยตัวเองจากการอ่านบทความ ข้อคิดเห็น หรือ ดูวีดีโอ นี้ คนไข้ควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์ของตนเองเพื่อทราบสาเหตุที่แท้จริงของอาการปวด และเพื่อหลีกเลี่ยงการปวดที่อาจเกิดเพิ่มมากขึ้นในภายหลัง
บทความที่น่าสนใจ
- ปวดเอวเวลานอน-สาเหตุการนอนไม่หลับ แก้ยังไงดี
- “ปวดหลังเรื้อรัง” 6 พฤติกรรมที่ทำให้คุณปวดหลังแบบไม่รู้ตัว
- “ฝังเข็ม” วิธีรักษาทางกายภาพบำบัดของโรคออฟฟิศซินโดรม