โรคเกาต์-เกาต์เทียม-รูมาตอยด์ ต่างกันอย่างไร
“โรคเกาต์” โรคที่เป็นที่รู้จักกันดีในปัจจุบัน เนื่องจากเป็นโรคที่พบมากในคนไทย โดยอาการของโรคเกาต์นั้นจะเป็นอาการที่เกี่ยวข้องกับข้อต่างๆ ของเข่าและเท้า ซึ่งก็ส่งผลกระทบกับการใช้ชีวิตประจำวันของผู้ป่วยค่อนข้างมาก อย่างไรก็ดี คงไม่เป็นที่แปลกใจเท่าไหร่ที่โรคปวดข้อชนิดนี้จะเป็นที่รู้จักในคนหมู่มาก หากแต่แท้จริงแล้วยังมี โรคเกาต์เทียม และโรครูมาตอยด์ ที่ยังมีอาการที่คล้ายกัน และการแยกอาการของโรคเหล่านี้ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะถ้าหากแยกผิด เราก็จะได้รับการรักษาที่ผิดไปด้วย ดังนั้น เราจึงควรรู้ข้อแตกต่างว่า 3 โรคนี้ต่างกันอย่างไรเพื่อที่จะได้นำไปสู่การรักษาที่ถูกต้องและมีประสิทธิภาพนั่นเอง
โรคเกาต์-เกาต์เทียม-รูมาตอยด์ ต่างกันอย่างไร
ทั้ง 3 โรคนี้ เป็นโรคที่มักพบได้บ่อยที่สุดในผู้สูงอายุ ซึ่งเป็นโรคที่สร้างความเจ็บปวดบริเวณกระดูกและข้อ ส่งผลให้การเดินและการใช้ชีวิตประจำวันเป็นไปได้อย่างยากลำบาก อีกทั้งเมื่อเป็นโรคนี้ อาจจะปวดจนเดินไม่ได้อีกด้วย ดังนั้นจึงเป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่งในการที่ทุกๆ คนต้องทำความรู้จักกับโรคเหล่านี้อย่างจริงจังเพื่อจะได้ป้องกันและระมัดระวังได้ถูกวิธี
โรคเกาต์
สาเหตุ
เกิดจากการที่ร่างกายสะสมกรดยูริก (Uric Acid) มากเกินไป และไม่สามารถขับกรดยูริกส่วนเกินออกได้ จึงตกผลึกตามข้อและอวัยวะต่างๆ โดยโรคเกาต์สามารถพบได้ทุกเพศทุกวัย แต่เนื่องจากโรคเกาต์ จะต้องใช้เวลาในการสะสมกรดยูริกนานกว่า 10 ปี ถึงจะเริ่มแสดงอาการ จึงพบได้มากในผู้ชายอายุประมาณ 40 ปีขึ้นไป และพบได้มากในเพศชายมากกว่าเพศหญิง หากพบในเพศหญิงจะเป็นผู้หญิงในวัยหมดประจำเดือน
อาการ
ผู้ป่วยโรคนี้จะมีอาการปวด บวมแดง ร้อนบริเวณข้ออย่างฉับพลันทันทีทันใด โดยมักเริ่มจากข้อบริเวณโคนนิ้วหัวแม่เท้า แต่ก็สามารถเกิดกับข้ออื่นๆ ได้ เช่น ข้อเท้า ข้อเข่า ข้อมือ ซึ่งจะเป็นๆ หายๆ ในระยะแรก โรคเกาต์ที่ไม่ได้รับการรักษาหรือดูแลอย่างถูกต้อง อาการอักเสบจะรุนแรงมากขึ้นทำให้ผู้ป่วยปวดถี่ขึ้นและนานขึ้นจนอาจกลายเป็นโรคข้ออักเสบเรื้อรัง และอาจส่งผลให้เกิดภาวะแทรกซ้อนอื่นๆ ตามมา เช่น โรคไต นิ่วในทางเดินปัสสาวะ และไตวาย แนวทางการรักษา โรคเกาต์สามารถรักษาได้โดยไม่ต้องใช้ยา แต่ต้องปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิต เช่น การออกกำลังกาย การรับประทานอาหาร แต่ในผู้ป่วยบางรายที่มีอาการรุนแรง อาจจะมีการใช้ยาที่แพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญแนะนำร่วมด้วย
การป้องกัน
การป้องกันโรคเก๊าท์ที่สามารถทำได้ คือปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภคด้วยการไม่รับประทานอาหารที่มีกรดยูริกสูงต่อเนื่องเป็นเวลานาน ส่วนการดูแลตัวเองของผู้ป่วย ได้แก่
- พบแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางตามนัดทุกครั้ง และรับประทานยาตามที่แพทย์สั่งอย่างเคร่งครัด
- หลีกเลี่ยงอาหารที่มีกรดยูริกสูง เช่น เนื้อสัตว์โดยเฉพาะสัตว์ปีก เครื่องในสัตว์ อาหารทะเลบางชนิด เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และเน้นรับประทานโปรตีนจากผลิตภัณฑ์นมที่มีไขมันต่ำ ทั้งนี้ ผู้ป่วยควรศึกษาอย่างละเอียดว่าอาหารชนิดใดควรหรือไม่ควรรับประทาน หลีกเลี่ยงฟรุกโตสซึ่งพบมากในน้ำอัดลม
- ควบคุมน้ำหนักไม่ให้เกิดภาวะน้ำหนักเกิน ไม่ควรลดน้ำหนักอย่างรวดเร็วเพราะอาจเป็นการเพิ่มระดับของกรดยูริกได้
- ดื่มน้ำให้มากเพื่อขับกรดยูริกออกทางปัสสาวะ
- หากมีอาการปวดเฉียบพลันให้พักการใช้ข้อที่อับเสบ แล้วใช้วิธีประคบเย็นช่วยบรรเทาอาการ
โรคเกาท์เทียม
สาเหตุ
โรคเกาต์กับเกาต์เทียม มีสาเหตุการเกิดที่แตกต่างกัน โดยโรคเกาต์จะเกิดจากการสะสมของตะกอนยูริก บริเวณข้อและเนื้อเยื่อต่าง ๆ ส่วนเกาต์เทียมจะเกิดจากการสะสมตะกอนแคลเซียมไพโรฟอสเฟตดีไฮเดรท บริเวณเนื้อเยื่อรอบๆ ข้อใหญ่ๆ เช่น หัวเข่า โดยผู้ที่เสี่ยงเป็นโรคเกาต์ พบมากในผู้ชายอายุ 40 ปีขึ้นไป และเกิดขึ้นน้อยในผู้หญิงวัยหมดประจำเดือน ในขณะที่เกาต์เทียมพบในผู้ชายและผู้หญิงจำนวนเท่า ๆ กัน แต่จะเกิดขึ้นกับผู้สูงอายุเท่านั้น คือ ตั้งแต่อายุ 60 ปีขึ้นไป ซึ่งปัจจัยที่ก่อให้เกิดโรคเกาต์ ส่วนใหญ่มาจากพฤติกรรมการใช้ชีวิต และการทานอาหาร แต่เกาต์เทียม เกิดจากพันธุกรรมและโรค เช่น โรคเบาหวาน ภาวะฮอร์โมนพาราไทรอยด์ในเลือดสูง
อาการ
โรคเกาต์และเกาต์เทียม มีอาการปวดและอักเสบเหมือนกัน แต่โรคเกาต์จะเกิดอาการปวดและอักเสบบริเวณข้ออย่างรุนแรงและเฉียบพลัน มักเกิดขึ้นบริเวณหัวแม่เท้า ข้อนิ้วมือ ข้อนิ้วเท้า แต่ในขณะที่โรคเกาต์เทียมมักจะเกิดอาการปวดที่บริเวณข้อใหญ่ ๆ เช่น หัวเข่า ข้อเข่า ข้อมือ ข้อไหล่
แนวทางการรักษา
ในปัจจุบันยังไม่มียาที่สามารถไปละลายหินปูนออกจากกระดูกอ่อนได้ ดังนั้นการรักษาโรคนี้ส่วนใหญ่จึงเน้นไปที่การรักษาอาการอักเสบของข้อ การป้องกันการเป็นซ้ำ และการตรวจหาโรคร่วมที่อาจพบร่วมกับโรคเกาต์เทียม พร้อมให้การรักษาควบคู่กันไป
- รักษาทางยา
-ในกรณีที่มีข้ออักเสบเฉียบพลัน แพทย์จะใช้ยาลดการอักเสบ เช่น ยาต้านอักเสบชนิดไม่ใช่สเตียรอยด์ หรืออาจใช้ยาโคลชิซิน เหมือนกับการรักษาในโรคเกาต์ -ในกรณีที่มีน้ำไขข้อมาก การดูดเอาน้ำไขข้อออกจะสามารถช่วยลดการอักเสบของข้อได้ -ในกรณีที่ไม่ตอบสนองต่อยารับประทาน อาจจำเป็นต้องใช้ยาฉีดเข้าข้อ ซึ่งการรักษาแบบนี้ไม่ควรจะกระทำบ่อยๆ
- รักษาทางกายภาพบำบัด
เป็นส่วนสำคัญที่จะช่วยฟื้นฟูความแข็งแรงของกล้ามเนื้อและพิสัยการเคลื่อนไหวของข้อ ควรทำกายภาพในช่วงที่ข้ออักเสบทุเลาลงแล้ว
การป้องกัน
โรคเกาต์สามารถที่จะรักษาได้ด้วยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิตและการทานอาหารของเรา โดยอาจจะไม่ต้องรักษาด้วยยา แต่ว่าพฤติกรรมเหล่านี้จะไม่มีผลอะไรกับเกาต์เทียม เพราะว่าเกาต์เทียมไม่ได้เกิดมาจากการทานอาหารที่มีพิวรีนสูง แต่ว่าเกิดมาจากกรรมพันธุและโรคที่เราเป็นอยู่ ในปัจจุบันนี้ยังไม่สามารถที่จะรักษาเกาต์เทียมให้หายขาดได้ แต่ก็สามารถที่จะควบคุมอาการไม่ให้เจ็บปวดไปมากกว่านี้ได้ ด้วยการทานยาตามที่แพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญแนะนำ
โรครูมาตอยด์
สาเหตุ
โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ จะเกิดขึ้นจากระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายทำลายตัวเอง โดยจะทำลายเยื่อหุ้มข้อและเป็นผลทำให้เกิดการอักเสบและบวมขึ้น ซึ่งในที่สุดแล้วอาจทำลายกระดูกอ่อนและกระดูกของข้อต่อ รวมไปถึงเส้นเอ็นที่ยึดกล้ามเนื้อและกระดูก หรือเอ็นข้อต่อจะเปราะบางลงและยืดขยายออก จากนั้นข้อต่อก็จะค่อย ๆ ผิดรูปหรือบิดเบี้ยว ซึ่งปัจจุบันยังไม่ทราบถึงต้นตอของการเกิดโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ที่แน่ชัด ซึ่งมีโอกาสเกิดขึ้นได้จากการถ่ายทอดทางพันธุกรรม ในขณะที่ยีนอาจไม่ใช่สาเหตุที่แท้จริง แต่สามารถทำให้ผู้ป่วยมีความไวต่อปัจจัยทางสิ่งแวดล้อมได้ เช่น การติดเชื้อที่เกิดขึ้นจากเชื้อไวรัสและแบคทีเรีย ซึ่งอาจเป็นสิ่งที่กระตุ้นการเกิดโรค
อาการ
ปวดได้ทุกจุดของร่างกาย ทั้งข้อนิ้วมือ ข้อไหล่ ข้อนิ้วเท้า ข้อเท้า ข้อเข่า ข้อไหล่ ข้อศอก และมีอาการที่ปวดพร้อมๆ กันหลายๆ ข้อ และจะมีอาการปวดดำเนินอย่างช้า ๆ อาจนานเป็นสัปดาห์หรือเป็นเดือน มีอาการเหนื่อยอ่อนและเมื่อยล้า รวมไปถึงอาจพบว่ามีน้ำหนักตัวลดลงและมีไข้อ่อน ๆ อาการอื่น ๆ ของโรคที่พบได้บ่อย ได้แก่
- มีอาการปวด บวม แดง อุ่น ข้อฝืด โดยจะเกิดขึ้นพร้อมกันในร่างกาย เช่น มือ ข้อมือ ข้อศอก เท้า ข้อเท้า เข่า และคอ
- อาการข้อฝืดแข็ง อาจเกิดขึ้นหลังจากที่ร่างกายไม่ได้เคลื่อนไหว เช่น ตอนตื่นนอนในตอนเช้า หรือนั่งเป็นเวลานาน ๆ
แนวทางการรักษา
โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ยังไม่มีการรักษาที่หายขาดได้ แต่ปัจจุบันมีความเป็นไปได้ที่จะบรรเทาโรคให้ดีขึ้น หากเริ่มต้นการรักษาอย่างทันท่วงทีและรักษาด้วยยาปรับเปลี่ยนการดำเนินโรค
- รักษาทางกายภาพภาพบำบัด
แพทย์อาจส่งผู้ป่วยไปยังผู้เชี่ยวชาญในการบำบัดโรคหรือนักกายภาพที่ช่วยสอนให้ผู้ป่วยบริหารร่างกายเพื่อให้ข้อต่อมีความยืดหยุ่น ผู้เชี่ยวชาญอาจแนะนำทางเลือกใหม่ๆ เพื่อให้ผู้ป่วยนำไปปฏิบัติในชีวิตประจำวัน รวมไปถึงการใช้อุปกรณ์ช่วยเหลือที่ทำให้การใช้ชีวิตง่ายขึ้นและหลีกเลี่ยงความเจ็บปวดที่ข้อได้
- รักษาทางการผ่าตัด
หากการรักษาด้วยยาไม่ได้ผลในการป้องกันและชะลอการถูกทำลายของข้อ แพทย์อาจพิจารณาให้ทำการผ่าตัดเพื่อรักษาข้อที่มีการเสื่อมหรือถูกทำลาย ซึ่งการผ่าตัดอาจช่วยทำให้ข้อต่อสามารถใช้การได้ดีขึ้น นอกจากนั้นยังช่วยลดความเจ็บปวดและช่วยแก้ไขส่วนที่ผิดรูปให้กลับมาปกติอีกด้วย
การป้องกัน
1.การพักผ่อนและมีกิจกรรมที่เหมาะสม
โดยมีจุดประสงค์หลักคือการลดและควบคุมการอักเสบ ลดอาการเหนื่อยล้า พักข้อ แต่ขณะเดียวกันกิจกรรมก็มีความสำคัญในการป้องกันไม่ให้เกิดความพิการ ข้อติดแข็ง
2.ลดอาการปวดข้อด้วยการใช้ความร้อน
เช่น ประคบด้วยน้ำอุ่น แต่ถ้ามีเส้นเลือดอักเสบไม่ควรใช้ ขณะที่มีการอักเสบรุนแรงควรใช้น้ำเย็นจะดีกว่า ถ้ามีข้อยึดฝืดควรแช่น้ำอุ่น 15-20 นาทีจะทำให้ทุเลา
3.ควรปรับกิจวัตรประจำวันให้เหมาะสม
โดยเน้นที่การเคลื่อนไหวได้อิสระ การปรับของใช้ในบ้าน ในที่ทำงานจะช่วยแก้ไขข้อจำกัดของโรคได้ การเลือกเสื้อผ้าแต่งตัวก็ช่วยทำให้หมุนข้อได้ดี การมีเครื่องใช้ในการทำงานบ้าน หลีกเลี่ยงการมีกิจกรรมที่บิดข้อมือให้ใช้กล้ามเนื้อมัดใหญ่แทน
4.กายภาพบำบัด
หากผู้ป่วยบริหารเองได้จะมีประโยชน์มากกว่าให้ผู้อื่นทำให้เพราะคนอื่นอาจทำแรงเกินไป ท่าที่ใช้ได้แก่ หมุนข้อตามทิศทางที่ข้อเคลื่อนได้ปกติ ท่าพนมมือไหว้แล้วออกแรงดันจะช่วยบริหารข้อไหล่ ข้อแขน ข้อมือ ท่ากายบริการง่ายๆดัดแปลงนำไม่ใช้ได้ ควรทำจังหวะช้าๆ 5-10 รอบ อย่างน้อย 2-3 ครั้งใน 1 วัน
ท้ายที่สุด แม้ว่าทั้ง 3 โรคนี้จะส่งผลต่อข้อต่างๆ ตามบริเวณหัวเข่าและเท้าเหมือนกัน แต่สาเหตุของการเกิดนั้นแตกต่างกันอย่างชัดเจน ดังนั้น ทุกคนจึงควรทำความเข้าใจว่าโรคเหล่านี้มีความแตกต่างกันอย่างไร เพื่อที่จะได้รับรักษาและป้องกันที่ถูกต้องนั่นเอง หรือหากไม่มั่นใจควรรีบไปปรึกษาแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญเพื่อให้ผลการรักษามีประสิทธิภาพและหายจากโรคได้ในที่สุด
——————————–
ข้อควรระวัง: เนื้อหาในบทความ วีดีโอ ข้อความคิดเห็น มีจุดประสงค์เพื่อให้ความรู้ และสาธิตให้ดูเป็นตัวอย่างเท่านั้น ไม่ได้มีความตั้งใจจัดทำขึ้นเพื่อทดแทนการเข้ารับการตรวจ วิเคราะห์ และการวางแผนการรักษาของผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์ ผู้เข้าชมไม่ควรวินิจฉัย หรือ คาดเดาโรคด้วยตัวเองจากการอ่านบทความ ข้อคิดเห็น หรือ ดูวีดีโอ นี้ คนไข้ควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์ของตนเองเพื่อทราบสาเหตุที่แท้จริงของอาการปวด และเพื่อหลีกเลี่ยงการปวดที่อาจเกิดเพิ่มมากขึ้นในภายหลัง
บทความที่น่าสนใจ
- นั่งนาน ปวดหลัง แก้ได้ไม่ยาก
- ปวดกล้ามเนื้อหลัง (Myofascial Pain Syndrome)
- ปวดหัว มึนหัว ปวดกระบอกตา คล้ายไมเกรน