โปลิโอ กับ การฟื้นฟูง่ายๆ ด้วยกายภาพ
“โปลิโอ” โรคที่เราได้ยินชื่อและรู้จักกันมายาวนาน และผู้ป่วยที่เป็นโรคนี้ก็จะมีลักษณะอาการที่เราคุ้นตากันดี แต่ทุกคนทราบหรือไม่ว่าภาวะทางกล้ามเนื้อชนิดนี้เป็นโรคติดต่อที่สามารถติดกันได้เพราะเป็นภาวะที่เกิดจากเชื้อไวรัสชนิดหนึ่ง ซึ่งผู้ป่วยจะมีอาการกล้ามเนื้อลีบ กล้ามเนื้ออ่อนแรง และอัมพาต และสามารถเป็นได้ตั้งแต่อายุ 5 ปีขึ้นไป นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมเราจึงจับเป็นต้องรับวัคซีนป้องกันโรคนี้ตั้งแต่เด็กนั่นเอง
“โปลิโอ” เกิดจากอะไร มีอาการอย่างไร?
จากในปี พ.ศ. 2540 เป็นปีสุดท้ายที่ประเทศของเราพบกับผู้ป่วยโรคกล้ามเนื้อชนิดนี้ หลังจากนั้นก็เว้นช่วงห่างมาจนถึงปัจจุบัน อย่างไรก็ดีเด็กๆ ทุกคนยังจำเป็นต้องรับวัคซีนป้องกันโรคนี้อยู่ เนื่องจากเป็นโรคที่อันตรายที่สร้างความสูญเสียทั้งทางด้านร่างกายเป็นอย่างมาก และส่งผลต่อการใช้ชีวิตประจำวันของผู้ป่วยโดยตรง อีกทั้งยังส่งผลต่อการหายใจ ที่ค่อนข้างหายใจลำบากอีกด้วย
สาเหตุของการเกิดโรคโปลิโอ
โรคโปลิโอเกิดจากไวรัสโปลิโอ (Poliovirus) ที่จะอาศัยอยู่แต่ภายในร่างกายของมนุษย์เท่านั้น โดยไวรัสชนิดนี้ติดออกมากับอุจจาระของผู้ป่วยที่ติดเชื้อโปลิโอ หรือเมื่อไอ จาม และแพร่กระจายผ่านการสัมผัสเชื้อที่ปนเปื้อนมาในอาหารหรือน้ำที่รับประทานเข้าไป โดยเจ้าไวรัสชนิดนี้จะติดต่อเข้าสู่ทางปากและผ่านเข้าสู่ทางลำคอ หลังจากนั้นก็กระจายไปยังต่อมน้ำเหลืองบริเวณคอ ลงไปยังลำไส้ ผ่านไปยังกระแสเลือด โดยปกติผู้ป่วยได้รับเชื้อจะไม่มีอาการหรืออาจมีไข้ แต่ในบางรายที่เมื่อเชื้อเข้าสู่กระแสเลือดแล้วลามไปยังไขสันหลังและสมอง จะเกิดการทำลายเซลล์ประสาทที่ทำหน้าที่ควบคุมกล้ามเนื้อส่วนต่างๆ ส่งผลให้กล้ามเนื้ออ่อนแรง อวัยวะในร่างกายทำงานผิดปกติ และกลายเป็นอัมพาตในที่สุด
ใครบ้างที่มีความเสี่ยงที่จะเป็นโรคกล้ามเนื้อชนิดนี้
จากที่กล่าวไว้ข้างต้นว่าโรคที่สามารถติดต่อได้ง่าย โดยเฉพาะในเด็กอายุต่ำกว่า 5 ปีและผู้ที่มีภูมิคุ้มกันต่ำ สามารถติดต่อจากคนสู่คนได้ โดยผ่านสัมผัสเชื้อของผู้ป่วยทางอุจจาระ ทางการหายใจ นั่นเอง ดังนั้นจึงควรได้รับวัคซีนป้องกันตั้งแต่เด็กและคอยดูแลตนเองอยู่เสมอ
ลักษณะอาการ
โดยกลุ่มอาการของโรคกล้ามเนื้อชนิดนี้ สามารถแบ่งออกได้เป็น 4 กลุ่ม ดังนี้
-
กลุ่มไม่แสดงอาการ
โดยกลุ่มอาการนี้จะมีลักษณะคล้ายหวัดเท่านั้น ซึ่งในขณะที่ติดเชื้อ ร่างกายก็สามารถต่อสู้เอาเชื้อออกไปได้โดยที่เจ้าของร่างกายยังไม่ทราบด้วยซ้ำ
- กลุ่มอาการเยื่อหุ้มสมองอักเสบ
มีอาการคล้ายโรคหวัดร่วมกับอาการเยื่อหุ้มสมองอักเสบจากไวรัสที่อาจคงอยู่ประมาณ 3-21 วันและสามารถหายไปได้เอง ซึ่งกลุ่มอาการรก็เช่น เจ็บคอ มีไข้ ปวดศีรษะ ปวดหรือเมื่อยบริเวณหลัง คอ หรือตามแขนขา เป็นต้น
-
กลุ่มอาการกล้ามเนื้ออ่อนแรง
เป็นการติดเชื้อโปลิโอชนิดที่พบได้น้อยแต่มีความรุนแรงเป็นอย่างมากต่อร่างกายของเรา สามารถแบ่งได้เป็นหลายประเภทขึ้นอยู่กับส่วนของร่างกายที่ได้รับผลกระทบ เช่น โปลิโอกระดูกสันหลัง โปลิโอก้านสมอง ซึ่งภาวะนี้จะส่งผลต่อกล้ามเนื้อเราทั้งสิ้น อย่างไรก็ดีผู้ป่วยในกลุ่มอาการนี้มีโอกาสที่ไวรัสจะเข้าจู่โจมกล้ามเนื้อที่ทำหน้าที่ช่วยในการหายใจจนนำไปสู่การเสียชีวิตได้ ซึ่งส่วนใหญ่พบในเด็กหรือผู้ที่เป็นโปลิโอก้านสมองส่วนท้าย
-
กลุ่มอาการหลังเกิดโรค
เป็นอาการที่อาจกลับมาเกิดขึ้นกับผู้ที่เคยติดเชื้อโปลิโอในช่วงประมาณ 30-40 ปีหลังจากติดเชื้อครั้งก่อน โดยอาการทั่วๆ ไปจะประกอบด้วย กล้ามเนื้อหรือข้อต่ออ่อนแรงลงเรื่อยๆ เจ็บกล้ามเนื้อรุนแรงขึ้น กล้ามเนื้อหดตัวหรือลีบลง ข้อต่อหดเกร็ง เป็นต้น
แนวทางการรักษา
ในปัจจุบันยังไม่มีแนวทางรักษาโรคนี้ให้หายขาด แพทย์จึงได้แค่แนะนำให้ผู้ป่วยและรักษาได้ตามอาการเท่านั้น โดยอาจให้ผู้ป่วยนอนพักผ่อน ให้ยาบรรเทาอาการปวด ให้รับประทานอาหารบำรุงสุขภาพ ออกกำลังกายเบา ๆ เพื่อป้องกันไม่ให้กล้ามเนื้อสูญเสียการทำงานและผิดรูปร่างไป อีกทั้งในกรณีที่ผู้ป่วยมีปัญหาในระยะยาว ผู้ป่วยอาจต้องรับการรักษาและการดูแลอย่างต่อเนื่อง อาจมีการทำกายภาพบำบัดเพื่อช่วยแก้ปัญหาเกี่ยวกับการเคลื่อนไหวหรือใช้อุปกรณ์ เช่น เฝือกหรืออุปกรณ์ช่วยพยุงแขนขาที่อ่อนแรง รวมทั้งการให้ทำกิจกรรมบำบัดช่วยปรับการเคลื่อนไหวที่ยากลำบากนั่นเอง
กายภาพบำบัดและอุปกรณ์ต่างๆ สำหรับผู้ป่วย
1. กายภาพบำบัดและกิจกรรมบำบัด
-ขณะที่ยังมีใช้จะเน้นการจัดท่าลำตัว แขน สะโพกและขา ให้อยู่ในแนวตรง -เริ่มบริหารข้อทันทีเมื่อไข้ลด เพื่อป้องกันข้อติด -ออกกำลังกายเพื่อเพิ่มกำลังกล้ามเนื้อ – การฝึกกิจกรรมในรูปแบบการละเล่นเพื่อให้เด็กเกิดความเพลิดเพลินสนุกสนาน ให้ความร่วมมือ – การออกกำลังกายเพื่อให้มีการขยับแขนขาให้ได้มากที่สุด เช่น ว่ายน้ำ -กรณีที่เด็กมีกล้ามเนื้อลำตัวอ่อนแรง ควรจัดท่นั่งให้หลังตรงและมี support
2. กายอุปกรณ์เสริม (Orthoses)
-ใช้ orthosis เช่น long leg braces เพื่อป้องกัน contractures และช่วยในการเดิน
3. อุปกรณ์พยุงเดิน (Mobility aids)
-ใช้ gait aid เช่น crutches เพื่อฝึกยืนและฝึกเดิน -ใช้ wheel board หรือ wheelchair ในการเคลื่อนที่ อย่างไรก็ดี โรคกล้ามเนื้อชนิดนี้จำเป็นต้องได้รับการดูแลรักษาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งก็จะถูกรักษาตามอาการของแต่ละบุคคลตามที่กล่าวไว้แล้วข้างต้น อย่างไรก็ดียังมีกิจกรรมบำบัดและกายภาพบำบัดอีกมากมายที่ผู้ป่วยสามารถทำได้ หรือแม้แต่ยังไม่ได้เป็นผู้ป่วยก็สามารถเข้ารับคำแนะนำได้เช่นกัน ดังนั้นการป้องกันสุขภาพจากโรคร้ายต่างๆ จึงเป็นเรื่องดีที่พึงกระทำ เพื่อร่างกายที่แข็งแรงนั่นเอง ——————————–
ข้อควรระวัง: เนื้อหาในบทความ วีดีโอ ข้อความคิดเห็น มีจุดประสงค์เพื่อให้ความรู้ และสาธิตให้ดูเป็นตัวอย่างเท่านั้น ไม่ได้มีความตั้งใจจัดทำขึ้นเพื่อทดแทนการเข้ารับการตรวจ วิเคราะห์ และการวางแผนการรักษาของผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์ ผู้เข้าชมไม่ควรวินิจฉัย หรือ คาดเดาโรคด้วยตัวเองจากการอ่านบทความ ข้อคิดเห็น หรือ ดูวีดีโอ นี้ คนไข้ควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์ของตนเองเพื่อทราบสาเหตุที่แท้จริงของอาการปวด และเพื่อหลีกเลี่ยงการปวดที่อาจเกิดเพิ่มมากขึ้นในภายหลัง
บทความที่น่าสนใจ
- ชนิดของกล้ามเนื้อ มีอะไรบ้าง? ส่วนไหนเกิดโรคได้ง่ายที่สุด
- “บำรุงกล้ามเนื้อ” ด้วยอาหาร 6 ชนิดนี้-ช่วยให้แข็งแรงขึ้น
- “กล้ามเนื้ออ่อนแรง” ภัยเงียบที่ต้องเฝ้าระวัง