“เหน็บชา” เป็นอาการนี้บ่อยๆ ไม่ควรนิ่งนอนใจ
“เหน็บชา” ภาวะที่หลายๆ คนเป็นกันบ่อยๆ โดยเฉพาะเมื่อเวลาที่อวัยวะส่วนใดส่วนหนึ่งถูกทับไว้นานๆ และไม่ได้ใช้เคลื่อนไหวไปในชั่วขณะหนึ่ง จึงทำให้เกิดอาการเหน็บขึ้นตามอวัยวะนั้นๆ ได้สักครู่อาการจึงหายไป อย่างไรก็ดีแม้ไม่ได้ดูจะเป็นตรายอะไรแต่ใช่ว่าการเกิดอาการเหน็บหรือชาบ่อยๆ จะเป็นสิ่งที่ดี กลับกันที่ว่าอาการเล็กๆ น้อยๆ แบบนี้อาจส่งผลอันตรายต่อสุขภาพได้ เพราะอาจเป็นสัญญาณของโรคร้ายแรงอื่นๆ ที่เรายังไม่รู้ตัว ดังนั้นเราจึงควรทำความเข้าใจอาการนี้เอาไว้ เพื่อรู้สาเหตุที่แท้จริงว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่
“เหน็บชา” คืออะไรกันแน่ สาเหตุมาจากอะไร
โรคเหน็บชา (Beriberi) – ภาวะขาดวิตามินบี 1 เป็นโรคทางระบบประสาทอย่างหนึ่ง ซึ่งเกิดจากความผิดปกติของระบบประสาทรับความรู้สึก สามารถเกิดขึ้นได้ในทุกส่วนของร่างกาย โดยมักจะมีอาการชาตามปลายมือ ปลายเท้า ซึ่งอาการดังกล่าวแตกต่างจากอาการเหน็บชาที่พบทั่วไปในชีวิตประจำวัน แต่รู้หรือไม่ว่า โรคเหน็บชา อาจเป็นจุดเริ่มต้นสัญญาณเตือนของโรคร้ายได้
โรคเหน็บชาเกิดจากอะไร?
- ขาดวิตามินบี 1 หรือ ไทอามีน (Thiamine)
- สัญญาณเตือนของโรคบางอย่าง เช่น เบาหวาน พิษสุราเรื้อรัง
- ปัจจัยอื่นๆ เช่น เหน็บชาจากกรรมพันธุ์ การเปลี่ยนแปลงทางสรีรวิทยา ผู้ที่เจ็บป่วยเรื้อรังเป็นเวลานาน เป็นต้น
อาการโรคเหน็บชาที่ควรรู้
เมื่อร่างกายขาดวิตามินบี 1 จะทำให้เป็นเหน็บชา และทำให้มีอาการหอบเหนื่อย หัวใจเต้นเร็ว และตับโต โดยอาการเหน็บชานี้อาจเป็นสัญญาณเตือนเริ่มต้นว่าร่างกายขาดวิตามิน หรือสัญญาณแรกของโรคเบาหวานได้เช่นกัน ซึ่งโรคเหน็บชา สามารถเกิดได้ทั้งในวัยเด็กและวัยผู้ใหญ่
-
โรคเหน็บชาในเด็ก (Infantile beriberi)
พบได้บ่อยในทารกที่มีอายุระหว่าง 2-6 เดือน มักพบได้ในทารกที่กินนมมารดาและมารดากินอาหารที่ขาดวิตามินบี 1 หรืออดของแสลง ทั้ง ๆ ที่อาหารบางอย่างนั้นมีคุณค่าทางโภชนาการ หรือมารดาเป็นโรคเหน็บชา ทารกมักถูกนำมาพบแพทย์ด้วยอาการอย่างใดอย่างหนึ่งหรือหลายอย่างร่วมกัน เช่น ซึม หน้าเขียว ตัวเขียว หอบเหนื่อย ตัวบวม ขาบวม หัวใจโต หัวใจเต้นเร็ว ร้องเสียงแหบหรือร้องไม่มีเสียง ในบางรายอาจมีอาการตากระตุก (Nystagmus) หนังตาบนตก ชัก หรือหมดสติ ถ้าไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกต้อง อาจทำให้เสียชีวิตได้ภายใน 2-3 ชั่วโมง
- โรคเหน็บชาในผู้ใหญ่ (Adult beriberi)
ในระยะเริ่มแรกหรือมีอาการขนาดอ่อน ๆ ผู้ป่วยจะรู้สึกอ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย เบื่ออาหาร ท้องผูก ท้องอืดเฟ้อ รู้สึกชา ความจำเสื่อม แต่เมื่อตรวจร่างกายแล้วจะไม่พบสิ่งผิดปกติ ต่อมาเมื่อเป็นมากขึ้น ซึ่งผู้ป่วยจะรู้สึกชาบริเวณปลายมือปลายเท้า อาจมีอาการปวดแสบและเสียวแปลบ ๆ ร่วมด้วย โดยมากจะเป็นพร้อมกันทั้งสองข้าง ผู้ป่วยบางรายอาจเป็นตะคริว ปวดเจ็บที่กล้ามเนื้อน่อง แขนขาไม่มีแรง และถ้าเป็นมาก ๆ อาจมีอาการเป็นอัมพาตได้ ส่วนผู้ป่วยที่มีสาเหตุมาจากโรคพิษสุราเรื้อรัง ผู้ป่วยจะมีอาการตาเหล่ ตาเข เนื่องจากกล้ามเนื้อเคลื่อนไหวลูกตาเป็นอัมพาต มีอาการเดินเซ (Ataxia) และมีความผิดปกติทางจิต ซึ่งอาจทำให้หมดสติจนเสียชีวิตได้ โรคเหน็บชาในผู้ใหญ่สามารถแบ่งออกเป็น 3 ประเภท ได้แก่
- Dry beriberi (โรคเหน็บชาชนิดผอมแห้ง) ผู้ป่วยจะมีอาการชาแบบไม่บวม มักเป็นการชาตามปลายมือปลายเท้า กล้ามเนื้อแขนขาไม่มีกำลัง อาจทดสอบได้โดยให้ผู้ป่วยนั่งยอง ๆ แล้วลุกขึ้นเอง ซึ่งผู้ป่วยจะทำไม่ได้ (มีผลต่อระบบประสาทนอกส่วนกลาง
- Wet beriberi (โรคเหน็บชาชนิดเปียก) ผู้ป่วยจะมีอาการบวมร่วมกับการชาปลายมือปลายเท้าแล้ว มีน้ำคั่งในช่องท้องและช่องปอด ในผู้ป่วยบางรายอาจมีอาการหอบเหนื่อย หัวใจโตและเต้นเร็ว หัวใจอาจวายได้ ถ้าไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที ผู้ป่วยจะเสียชีวิต (มีผลต่อระบบหัวใจ (Cardiovascular system) และระบบอื่นๆ ของร่างกาย) (Peripheral nervous system))
- Wernicke-Korsakoff syndrome พบได้บ่อยในผู้ป่วยที่เป็นโรคพิษสุราเรื้อรัง โดยผู้ป่วยจะมีอาการทางสมอง 3 อย่าง คือ การเคลื่อนไหวของลูกตาทำได้น้อยหรือไม่ได้เลย เดินเซ และมีความผิดปกติทางจิตใจ ซึ่งพวกที่เป็นมากจะมีอาการทางจิตที่เรียกว่า Korsakoff’s psychosis
ภาวะแทรกซ้อนของโรคเหน็บที่อาจเกิดขึ้น
ผู้ป่วยโรคเหน็บชาที่ร่างกายมีการขาดวิตามินบี 1 อย่างรุนแรง อาจทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนเกี่ยวกับระบบประสาท สมอง กล้ามเนื้อ หัวใจ กระเพาะและลำไส้ได้ ซึ่งหากผู้ป่วยไม่รับการรักษาอาจนำไปสู่การเสียชีวิตได้
- ภาวะหัวใจล้มเหลว
- ภาวะทางจิต (Psychosis)
- โรคภูมิแพ้ชนิดรุนแรง (Anaphalaxis)
การรักษาเหน็บชา
การรักษาเหน็บชา สำหรับกรณีทั่วไปที่ไม่รุนแรงแพทย์จะให้วิตามิน บี 1 แบบชนิดเม็ดให้ผู้ป่วยรับประทานเสริมอาหาร #ส่วนกรณีที่รุนแรงอาจจำเป็นต้องให้วิตามิน บี 1 ผ่านทางหลอดเลือดดำหรือฉีดเข้าทางกล้ามเนื้อ โดยปริมาณและระยะเวลาในการให้วิตามิน บี 1 จะขึ้นอยู่กับอาการของผู้ป่วยและดุลยพินิจของแพทย์ นอกจากนั้น ผู้ป่วยจะต้องได้รับการติดตามอาการหรือตรวจสอบการดูดซึมของวิตามิน บี 1 ของร่างกาย ด้วยการตรวจเลือด
วิธีปรับเปลี่ยนการรับประทานอาหารให้ห่างไกลจากการเป็นเหน็บ
- รับประทานอาหารที่อุดมไปด้วยวิตามินบี 1 เช่น ถั่ว ธัญพืช ข้าวซ้อมมือ ข้าวกล้อง เป็นต้น
- หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เนื่องจากพบว่าผู้ป่วยที่ติดสุราเรื้อรัง มักมีอาการเหน็บชาร่วมด้วย
- หลีกเลี่ยงการรับประทานของดิบ ของหมักดอง เนื่องจากอาหารดังกล่าวขัดขวางการดูดซึมวิตามินบี 1 ของร่างกาย
- รับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ และออกกำลังกายร่วมด้วย
นอกจากนี้ ควรจำกัดการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงการเกิดเหน็บชาให้น้อยลงได้ เพราะแอลกอฮอล์มีผลต่อร่างกายในการดูดซึมวิตามิน บี 1 ซึ่งเป็นวิตามินที่ขาดไปร่างกายจะเกิดเหน็บและชานั่นเอง อย่างไรก็ดี การดูแลตัวเองคือสิ่งที่สำคัญที่สุด ไม่ว่าจะเป็นอาการน้อยหรือมากเราทุกคนก็ควรใส่ใจและไม่ละเลยที่จะดูแลสุขภาพของตนให้ดี เพราะมิเช่นนั้นอาจจะสายเกินไปได้เพราะเมื่อรู้ตัวอีกทีก็อาจเกิดโรคร้ายแรงขึ้นแล้ว
——————————–
ข้อควรระวัง: เนื้อหาในบทความ วีดีโอ ข้อความคิดเห็น มีจุดประสงค์เพื่อให้ความรู้ และสาธิตให้ดูเป็นตัวอย่างเท่านั้น ไม่ได้มีความตั้งใจจัดทำขึ้นเพื่อทดแทนการเข้ารับการตรวจ วิเคราะห์ และการวางแผนการรักษาของผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์ ผู้เข้าชมไม่ควรวินิจฉัย หรือ คาดเดาโรคด้วยตัวเองจากการอ่านบทความ ข้อคิดเห็น หรือ ดูวีดีโอ นี้ คนไข้ควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์ของตนเองเพื่อทราบสาเหตุที่แท้จริงของอาการปวด และเพื่อหลีกเลี่ยงการปวดที่อาจเกิดเพิ่มมากขึ้นในภายหลัง
บทความที่น่าสนใจ
- นั่งนาน ปวดหลัง แก้ได้ไม่ยาก
- ปวดกล้ามเนื้อหลัง (Myofascial Pain Syndrome)
- ปวดหัว มึนหัว ปวดกระบอกตา คล้ายไมเกรน