อาการบาดเจ็บนักวิ่ง-มีอะไรบ้าง แต่ละอาการรักษาอย่างไร?
“อาการบาดเจ็บนักวิ่ง” ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า “วิ่ง” คือกีฬาที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมากในยุคปัจจุบัน และแม้บางท่านที่ไม่ได้เป็นนักกีฬามืออาชีพ ก็มักจะออกกำลังกายด้วยการวิ่งด้วยเช่นกัน อย่างไรก็ตาม ในการเล่นกีฬาหรือออกกำลังกายย่อมมีการบาดเจ็บเป็นธรรมดา ดังนั้น ในการวิ่งจึงต้องอาศัยทักษะความรู้ในการวิ่งที่ถูกต้องเพื่อที่จะป้องกันอาการบาดเจ็บต่างๆ ไม่ให้เกิดขึ้น
“อาการบาดเจ็บนักวิ่ง” ที่พบบ่อยมีอะไรบ้าง และเกิดจากอะไร?
การวิ่งย่อมมาคู่กับอาการบาดเจ็บ ไม่ว่าจะเป็นนักวิ่งหน้าเก่าหรือหน้าใหม่ก็อาจพบกับ อาการบาดเจ็บจากการวิ่ง ที่คุณอาจคาดไม่ถึงได้ เพราะบางอาการ เกิดจากอุบัติเหตุฉับพลัน ดังนั้นนักวิ่งทุกคนจึงจำเป็นต้องรู้จัก อาการบาดเจ็บต่างๆ ที่พบได้บ่อยในหมู่นักวิ่ง รวมถึงวิธีการดูแลเบื้องต้น เพื่อลดโอกาสในการเกิดการบาดเจ็บ ให้ได้มากที่สุดนั่นเอง
“การวิ่ง” คือ…
การวิ่ง คือการเคลื่อนที่บนพื้นดินของมนุษย์หรือสัตว์ที่ใช้เท้าเคลื่อนที่อย่างฉับไว ยังมีความหมายถึงกีฬาของมนุษย์ ที่เป็นการเคลื่อนที่มีความเร็วในจุดที่ทั้ง 2 เท้าอยู่เหนือพื้นในขณะเดียวกัน ซึ่งแตกต่างจากการเดินตรงที่เท้าหนึ่งจะต้องสัมผัสพื้น การวิ่งยังมีความเร็วที่แตกต่างกัน
5 อาการบาดเจ็บที่นักวิ่งต้องเจอ
1. กระดูกอ่อนเข่าอักเสบจากการวิ่ง (Runner’s knee)
อาการกระดูกอ่อนเข่าอักเสบ จากการวิ่ง เป็นอาการเจ็บเข่าจากการวิ่ง ที่พบได้บ่อยมาก จนได้ชื่อว่าโรค Runner’s knee เป็นการบาดเจ็บบริเวณ ผิวกระดูกอ่อนลูกสะบ้า สาเหตุมักมาจากท่าวิ่งที่ผิดวิธี ไม่ว่าจะเป็น วิ่งก้าวเท้ายาวเกินไป วิ่งกระแทกส้นเท้า วิ่งไขว้ขา วิ่งยกเข่าสูงเกินไป
อาการ:
เวลาวิ่งจะรู้สึกปวดเข่าด้านหน้า โดยเฉพาะตอนงอเข่า วิ่งขึ้น – ลงจากที่สูง เพราะลูกสะบ้าอักเสบ จากการเสียดสีกับกระดูกต้นขา หรือแม้แต่ตอนเหยียดเข่า ก็จะรู้สึกปวดหัวเข่าเช่นกัน
วิธีรักษาอาการเจ็บเข่าเบื้องต้น :
ให้หยุดพักจากการวิ่ง แล้วประคบเย็นวันละ 2 – 3 ครั้ง ครั้งละประมาณ 15 นาที จนกว่าจะหายดี
2. กล้ามเนื้อสะโพกอักเสบ (Piriformis Syndrome)
หากกล้ามเนื้อสะโพกอักเสบ จะส่งผลให้รู้สึก เจ็บเข่าจากการวิ่งได้ เพราะกล้ามเนื้อที่อยู่บริเวณก้น ใกล้กับสะโพก จะไปกดทับเส้นประสาทที่อยู่ใกล้กัน ทำให้ขณะวิ่ง จะรู้สึกปวดก้น ร้าวไปยังหัวเข่า และ ขา สาเหตุมาจาก การหักโหมในการวิ่งมากเกินไป วิ่งผิดท่า เป็นต้น
อาการ :
ปวดบริเวณก้น ร้าวไปยังหัวเข่าและขา
วิธีรักษาเบื้องต้น :
หากกล้ามเนื้อสะโพกอักเสบ รู้สึกวิ่งแล้วเจ็บเข่า ปวดหัวเข่า ให้หยุดพักจากการวิ่ง แล้วประคบเย็น สลับกับ ประคบร้อน ประมาณ 15 นาที ทุก 2 – 3 ชั่วโมง หากหายดีแล้ว และอยากกลับมาวิ่งใหม่ ก็ควรยืดกล้ามเนื้อก่อนการวิ่ง รวมถึงหลีกเลี่ยงการวิ่งบนพื้นลาดชันด้วย
3. กล้ามเนื้อหน้าแข้งอักเสบ (Shin Splints)
กล้ามเนื้อหน้าแข้งอักเสบ มักเกิดกับนักวิ่งมือใหม่ ที่หักโหมในการวิ่งมากเกินไป จนทำให้กล้ามเนื้อหน้าขา หดตัวอย่างรวดเร็ว และ เกิดการอักเสบ ขึ้นมาได้ นอกจากนี้ ยังเกิดจากการวิ่งบนพื้นคอนกรีต รองเท้าวิ่งที่ไม่ได้มาตรฐาน ซึ่งไม่สามารถรองรับน้ำหนักขา ได้ดีเท่าที่ควร ซึ่งอาการกล้ามเนื้อหน้าแข้งอักเสบ
อาการ :
เจ็บบริเวณแนวหน้าแข้ง และ มีอาการปวดหัวเข่าร่วมด้วย
วิธีรักษาเบื้องต้น :
ให้ประคบเย็น ประมาณ 15 – 20 นาที เป็นประจำทุกวัน จนกว่าจะหาย หากต้องการกลับมาวิ่งใหม่ ไม่ควรหักโหมมากนัก โดยให้ยืดเส้นก่อนวิ่ง และหากต้องการเพิ่มระยะทางการวิ่ง ก็ค่อยๆ ปรับโปรแกรมการวิ่ง ด้วยการเพิ่มระยะทางขึ้นไปเรื่อยๆ ไม่เกิน 10% ต่อสัปดาห์
4. วิ่งแล้วเจ็บเข่าด้านนอก (Iliotibial Band Syndrome)
วิ่งแล้วเจ็บเข่าด้านนอก หรือ เรียกสั้นๆ ว่า อาการ ITB เป็นอาการเจ็บเข่าจากการวิ่ง ที่พบได้บ่อยเช่นกัน โดยอาการ ITB เป็นการบาดเจ็บ บริเวณเส้นเอ็นข้างเข่าส่วนปลาย ที่เสียดสีกับปุ่มกระดูกข้างเข่าบ่อย จนทำให้เอ็นเข่าอักเสบ ซึ่งอาการเจ็บเข่าจากการวิ่งลักษณะนี้ เกิดขึ้นจากหลายสาเหตุด้วยกัน เช่น หักโหมในการวิ่งมากเกินไป ชอบวิ่งขึ้น – ลงเนิน ไม่ยืดหยุ่นกล้ามเนื้อก่อนวิ่ง กล้ามเนื้อขาไม่แข็งแรง รองเท้าวิ่งที่ไม่ได้มาตรฐาน เป็นต้น
อาการ :
หากมีอาการ ITB เวลาวิ่งจะรู้สึกปวดหัวเข่าด้านนอก เจ็บเส้นเอ็นข้างๆ เข่า เพราะเอ็นเข่าอักเสบ จะรู้สึกปวดตั้งแต่บริเวณเข่าด้านนอก ขึ้นไปถึงต้นขา และ สะโพกได้ หากเป็นหนักมาก หัวเข่าด้านข้างอาจบวมขึ้นมาด้วย
วิธีรักษาอาการเจ็บเข่าเบื้องต้น :
หากวิ่งแล้วเจ็บเข่าด้านนอก แนะนำให้ประคบเย็น ประมาณ 20 นาที และ พัก 1 ชั่วโมง สลับกันตลอดวัน จนกว่าจะหายดี หากหายดีแล้ว และ ต้องการกลับมาวิ่งใหม่ ก็ควรยืดหยุ่นกล้ามเนื้อ ก่อนวิ่งทุกครั้ง พร้อมเสริมสร้างความแข็งแรง ให้กับขา และ สะโพกเป็นประจำ
5. ปวดหลังช่วงล่าง (Low Back Pain)
อาการปวดหลังช่วงล่าง จากการวิ่ง สามารถส่งผลให้ปวดกล้ามเนื้อขาหลัง และ ลามไปยังหัวเข่าได้ โดยอาการปวดหลังช่วงล่าง สาเหตุหลักมาจาก กล้ามเนื้อหลังไม่แข็งแรง
อาการ :
ปวด ตึง บริเวณหลังช่วงล่าง ก้น กล้ามเนื้อขาหลัง และหัวเข่า
วิธีรักษาเบื้องต้น :
ให้หยุดพักจากการวิ่ง รวมถึงหยุดเล่นกีฬาทุกประเภท แล้วประคบเย็น สลับกับ ประคบร้อน ประมาณ 15 นาที ทุก 2 – 3 ชั่วโมง หากหายดีแล้ว และอยากกลับมาวิ่งใหม่ ก็ควรยืดกล้ามเนื้อก่อนการวิ่ง
ท้ายที่สุด เทคนิคที่ดีที่สุดสำหรับการวิ่ง คือ การอบอุ่นร่างกาย และ ยืดกล้ามเนื้อ นั่นเอง เพราะขั้นตอนเหล่านี้จะช่วยลดความเสี่ยงที่จะได้รับบาดเจ็บได้ อีกทั้ง การวิ่งเพื่อสุขภาพย่อมต้องมาคู่กับความปลอดภัยด้วย ดังนั้น หากไม่อยากเจออาการบาดเจ็บจากการวิ่งที่ไม่พึงประสงค์ ก็ควรทำการวอร์มร่างกายเสียก่อน ซึ่งหากใครไม่แน่ใจว่าวิธีอบอุ่นร่างกายต้องทำอย่างไรบ้างก็สามารถสอบถามผู้เชี่ยวชาญหรือนักกายภาพบำบัดเพื่อข้อมูลที่ถูกต้องในการเสริมสร้างกล้ามเนื้อ และยืดเส้น กันก่อนและหลังวิ่งด้วยนั่นเอง
——————————–
ข้อควรระวัง: เนื้อหาในบทความ วีดีโอ ข้อความคิดเห็น มีจุดประสงค์เพื่อให้ความรู้ และสาธิตให้ดูเป็นตัวอย่างเท่านั้น ไม่ได้มีความตั้งใจจัดทำขึ้นเพื่อทดแทนการเข้ารับการตรวจ วิเคราะห์ และการวางแผนการรักษาของผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์ ผู้เข้าชมไม่ควรวินิจฉัย หรือ คาดเดาโรคด้วยตัวเองจากการอ่านบทความ ข้อคิดเห็น หรือ ดูวีดีโอ นี้ คนไข้ควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์ของตนเองเพื่อทราบสาเหตุที่แท้จริงของอาการปวด และเพื่อหลีกเลี่ยงการปวดที่อาจเกิดเพิ่มมากขึ้นในภายหลัง
บทความที่น่าสนใจ
- ปวดกล้ามเนื้อหลัง (Myofascial Pain Syndrome)
- “โรครองช้ำ” คืออะไร อันตรายมากแค่ไหน?
- “เทปบำบัด” หนึ่งเทคนิคลดอาการปวดที่นักกีฬาควรรู้