“ออกกำลังกายในน้ำ” กายภาพบำบัดง่ายๆ ที่มีประโยชน์กว่าที่คุณคิด
“ออกกำลังกายในน้ำ” หรือในอีกหลายๆ ชื่อเรียก เช่น วารีบำบัด ธาราบำบัด โดยการทำกายภาพบำบัดชนิดนี้เป็นการนำประโยชน์ของน้ำเพื่อเพิ่มความแข็งแรงของร่างกายทั้งการสร้างเสริมสุขภาพและการรักษาโรค เพราะน้ำมีสมบัติทางกายภาพหลายอย่างที่เหมาะสมหลายอย่างในการบำบัดและฟื้นฟูร่างกายให้มีความแข็งแรงขึ้นมาได้ โดยการบำบัดชนิดนี้เหมาะกับใครและฟื้นฟูอาการให้กับผู้ป่วยโรคใดได้บ้าง ลองมาดูกัน
“ออกกำลังกายในน้ำ” คืออะไร เหมาะกับผู้ป่วยในโรคชนิดใดบ้าง?
การว่ายน้ำได้รับความนิยมจากผู้คนในปัจจุบันเป็นอย่างมาก เพราะนอกจากจะมีผลดีต่อสุขภาพแล้ว ยังมีผลดีต่อสุขภาพจิตด้วย อีกทั้งยังเหมาะสำหรับผู้ที่ไม่สามารถออกกำลังบนบกได้อีกด้วย เช่น ผู้ที่มีข้อเข่าเสื่อม เป็นต้น การออกกำลังใต้น้ำนั้นสามารถทำได้หลายวิธี รวมไปถึงการใช้เครื่องออกกำลังกายชนิดต่างๆ รวมด้วย เช่น เครื่องวิ่งสายพาน จักรยาน และการไม่ใช้เครื่องมือ สามารถทำได้ทั้งในน้ำอุ่นหรือน้ำที่มีอุณหภูมิปกติตามสระว่ายน้ำทั่วไป การออกกำลังกายภายในน้ำมีประโยชน์ต่อร่างกายเป็นอย่างมาก โดยจุดประสงค์ของการออกกำลังกายชนิดนี้ก็เพื่อเพิ่มความแข็งแรง ทนทาน การทรงตัว และสมรรถภาพของร่างกายนั้นขึ้นอยู่กับโปรแกรมการออกกำลังกายที่ออกแบบให้เหมาะสมในแต่ละรายนั่นเอง
คุณสมบัติของน้ำที่สามารถช่วยบำบัดผู้ป่วย
1. น้ำเป็นตัวกลางที่ดี
หากเมื่อเปรียบเทียบกับอากาศที่มีปริมาตรเท่ากับน้ำแล้ว จะพบว่า “น้ำ” สามารถเก็บความร้อนได้ดีกว่า “อากาศ” หลายเท่า อีกทั้งยังพาอุณหภูมิทั้งความร้อนและความเย็นได้เร็วกว่าอากาศ 25 เท่าที่อุณหภูมิเดียวกันอีกด้วย ดังนั้น เมื่อออกกำลังกายในน้ำจะไม่รู้สึกร้อนเพราะน้ำช่วยระบายความร้อนและช่วยให้เหงื่อระเหยได้เร็ว หากน้ำไหลเร็วขึ้น เช่น การออกกำลังกายในกระแสน้ำวน ร่างกายจะรับรู้อุณหภูมิของน้ำได้เร็วขึ้น
2. แรงลอยตัวของน้ำช่วยได้
ช่วยพยุงร่างกายให้ลอยและช่วยลดแรงกระทำต่อกระดูกและข้อที่ทำหน้าที่รับน้ำหนัก หากมีอาการปวดอยู่ อาการปวดก็จะลดลง ทำให้สามารถออกกำลังกายกล้ามเนื้อรอบข้อและกล้ามเนื้อมัดอื่นๆให้แข็งแรงขึ้นได้
3. แรงต้านของน้ำที่ตรงข้ามกับการเคลื่อนไหวร่างกายเรา
โดยแปรตามความเร็วของการเคลื่อนไหวในน้ำและพื้นที่หน้าตัดของร่างกายที่สัมผัสกับน้ำในทิศทางนั้น เช่น การเดินในน้ำจะเกิดแรงต้านมากกว่าการว่ายน้ำ การเคลื่อนไหวเร็วขึ้น หรือน้ำไหลเร็วขึ้น จะเพิ่มแรงต้านมากขึ้น เมื่อต้องออกกำลังกายในน้ำต้านกับแรงต้านของน้ำจะทำยากกว่าการออกกำลังกายชนิดเดียวกันบนบกที่ไม่มีแรงต้าน จึงใช้พลังงานมากกว่า และเกิดอาการอ่อนล้าได้เร็วกว่า
4. ยิ่งลึกน้ำยิ่งมีแรงดัน
กล่าวคือ เมื่อยืนในน้ำที่ลึกระดับทรวงอก ที่ขาจะได้รับแรงดันน้ำมากกว่าบริเวณทรวงอก ช่วยให้เลือดดำมีการไหลเวียนกลับมาที่หัวใจมากขึ้น สามารถลดอาการบวมตามขาเนื่องจากการไหลเวียนของเลือดดำและน้ำเหลืองไม่ดี
“อุณภูมิของน้ำ” อีกปัจจัยสำคัญในการบำบัด
อุณหภูมิของน้ำในสระควรอยู่ที่ 26-36 องศาเซลเซียส ขึ้นกับจุดประสงค์ของการใช้งาน หากใช้เพื่อการออกกำลังกายอย่างเบาสำหรับผู้ที่มีปัญหาเรื่องข้ออักเสบ หรือผู้ที่มีสมรรถภาพร่างกายไม่มาก ควรเป็นน้ำอุ่นอุณหภูมิ 34-36 องศาเซลเซียส เพราะจะรู้สึกสบายกว่า และไม่สูญเสียความร้อนออกจากร่างกาย หากใช้เพื่อกิจกรรมสันทนาการที่มีการออกกำลังกายมากขึ้น ควรเป็นน้ำเย็นอุณหภูมิ 26-28 องศาเซลเซียส เพราะจะช่วยระบายความร้อนออกจากร่างกายได้ดีกว่า สามารถออกกำลังกายได้มากขึ้น และนานขึ้นโดยไม่อ่อนล้า แต่ไม่ควรให้มีอุณหภูมิต่ำกว่า 18.5 องศาเซลเซียส เนื่องจากกล้ามเนื้อจะทำงานได้ไม่ดีนั่นเอง
ทำไมอุณภูมิของน้ำจึงสำคัญ
เพราะการออกกำลังกายในน้ำอุ่นจะได้ผลของความร้อนเพิ่มขึ้นด้วย คือ
-
ลดอาการปวด
-
เกิดการผ่อนคลาย
-
เพิ่มเลือดไปเลี้ยงในบริเวณที่มีการอักเสบเรื้อรังทำให้ลดอาการปวด และลดการอักเสบ
-
ทำให้เส้นเอ็นถูกดึงยืดง่ายขึ้น พิสัยการเคลื่อนไหวข้อดีขึ้น ปัญหาข้อติดลดลง
ผู้ป่วยในโรคใดบ้างที่เหมาะกับการออกกำลังกายแบบวารีบำบัด
1.ผู้ป่วยโรคระบบกระดูกและกล้ามเนื้อ
-
ช่วยลดการลงน้ำหนักที่กระดูกและข้อ
เมื่อมีปัญหาบริเวณกระดูกและข้อที่ต้องรับน้ำหนัก ซึ่งได้แก่ กระดูกสันหลัง และกระดูกขา ที่ก่อให้เกิดอาการเจ็บปวด เช่น การอักเสบ หรือ ภายหลังการผ่าตัด การออกกำลังกายบนบกอาจทำให้อาการเจ็บปวดเพิ่มขึ้น การออกกำลังกายในน้ำจะช่วยลดแรงกระทำต่อข้อเหล่านี้ทำให้อาการเจ็บปวดลดลง สามารถเริ่มออกกำลังกายได้เร็วขึ้น จึงช่วยให้การฟื้นตัวเร็วขึ้น
-
เป็นแรงต้านทานการออกกำลังกาย
แรงต้านทานการออกกำลังกายจะแปรตามความเร็วของการเคลื่อนไหวของน้ำหรือผู้ออกกำลังกาย และเกิดในทิศทางที่ตรงข้ามกับการเคลื่อนไหว หลักการดังกล่าวนำมาใช้ในการออกกำลังกายเพื่อเพิ่มความแข็งแรงและทนทานของกล้ามเนื้อได้
2. ผู้ป่วยโรคระบบประสาท
-
ทำให้การทรงตัวดีขึ้น
ผู้ป่วยโรคระบบประสาท เช่น โรคหลอดเลือดสมอง โรคบาดเจ็บที่ศีรษะ โรคพาร์กินสัน จะมีการทรงตัวของร่างกายที่ไม่ดี เมื่อออกกำลังกายบนบกจะเสี่ยงต่อการหกล้ม เมื่อได้ออกกำลังกายในน้ำจะเคลื่อนไหวได้ง่ายขึ้นเพราะน้ำช่วยพยุงร่างกาย จึงลดความเสี่ยงต่อการหกล้ม และสามารถฝึกความแข็งแรงของกล้ามเนื้อและฝึกการเคลื่อนไหวได้ดีข้น
-
ทำให้กล้ามเนื้อเกี่ยวกับการหายใจแข็งแรงขึ้น
เนื่องจากการออกกำลังกายในน้ำทำให้ระบบการหายใจทำงานเพิ่มขึ้น จึงสามารถใช้ฝึกกล้ามเนื้อเกี่ยวกับการหายใจในผู้ป่วยโรคระบบประสาท เช่น โรคบาดเจ็บไขสันหลัง เป็นต้น
-
เพิ่มสมรรถภาพของร่างกาย
ผู้ป่วยโรคระบบประสาทมักมีความบกพร่องทางกายที่เป็นอุปสรรคต่อการออกกำลังกายบนบก เช่น ผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองเมื่อออกกำลังกายในน้ำช่วยให้สมรรถภาพของร่างกายดีขึ้น
3. ในหญิงตั้งครรภ์
หญิงตั้งครรภ์จะมีโครงสร้างของร่างกายที่เปลี่ยนแปลงไปที่สำคัญ คือ หลังแอ่นมากขึ้นจึงเกิดอาการปวดหลังได้ง่าย มีอาการบวมตามรยางค์จากปริมาตรเลือดไหลเวียนที่เพิ่มขึ้น การออกกำลังกายในน้ำจะลดอาการปวดหลังเนื่องจากน้ำมีแรงพยุงช่วยลดแรงที่กระทำต่อกระดูกสันหลัง แรงดันน้ำช่วยทำให้เลือดไหลเวียนดีขึ้น จึงลดอาการบวมตามรยางค์ นอกจากนี้การออกกำลังกายในน้ำจะทำให้อัตราการเต้นของหัวใจ ความดันเลือด และอุณหภูมิกายเพิ่มขึ้นน้อยกว่าการออกกำลังกายบนบก
ตัวอย่างกิจกรรมการออกกำลังกายภายในน้ำ
1.การเดินหรือการวิ่งในน้ำ
น้ำในระดับเอวหรือระดับหน้าอกจะช่วงพยุงน้ำหนักของร่างกาย ที่กดลงบนเข่าเมื่ออกกำลังจะทำให้มีอาการปวดเข่า หรือข้ออักเสบน้อยกว่าการวิ่งบนบก นอกจากนั้นแรงต้านของน้ำจะทำให้กล้ามเนื้อแข็งแรง และใช้พลังงานมากกว่าการเดินบนบก
2.การเต้น Aerobic ในน้ำ( Water aerobics )
เพียงครั้งละ 20 นาทีก็สามารถทำให้หัวใจแข็งแรง
3.การเพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ ( Water toning/strengthening training)
โดยการเคลื่อนไหวร่างกายต้านกระแสน้ำ หรืออุปกรณ์เพื่อเพิ่มกำลังของกล้ามเนื้อ และทำให้กล้ามเนื้อแข็งแรงขึ้น
4.การฝึกการเคลื่อนไหวของข้อ ( Flexibility training)
เพื่อให้ได้มีการเคลื่อนไหวได้อย่างเต็มที่
5.ธาราบำบัด(Water therapy and rehabilitation)
ใช้ในการบำบัดทางการแพทย์ เช่นการฝึกเดิน การลดอาการปวด
6.การทำโยคะในน้ำ (Water yoga and relaxation )
เป็นการฝึกโยคะในน้ำเพื่อการผ่อนคลายกล้ามเนื้อ และประคองการทรงตัว
7.การออกำลังในน้ำลึก( Deep-water exercise)
เป็นการออกกำลังในน้ำลึกโดยที่เท้าไม่สัมผัสพื้น โดยใช้อุปกรณ์ช่วยลอยตัว
8.การวิ่งในน้ำลึก(Deep-water jogging/ running )
เหมือนกับการวิ่งบนบก แต่เท้าไม่สัมผัสพื้นโดยใช้อุปกรณ์ช่วยลอยตัว
ประโยชน์ของการออกกำลังกายด้วยวิธีวารีบำบัด
- ทำให้ร่างกายแข็งแรง
- ทำให้ข้อมีการเคลื่อนไหวดีขึ้น
- กล้ามเนื้อแข็งแรงมากขึ้น และมีความอดทนเพิ่มขึ้น
- การทรงตัวดีขึ้น
- ระบบไหลเวียนโลหิตดีขึ้น
- ใช้ในการฟื้นฟูสภาพร่างกายหลังได้รับอุบัติเหตุ
- ใช้เป็นส่วนหนึ่งในการลดน้ำหนัก
- ลดความเครียด
อย่างไรก็ดี การออกกำลังกายเช่นนี้ มีทั้งประสิทธิภาพที่จะสามารถฟื้นฟูร่างกายให้กับผู้ป่วยได้จริง แต่ในขณะเดียวกันก็มีข้อจำกัดและผลข้างเคียงต่อผู้ป่วยด้วยเช่นกัน ดังนั้น หากใครที่สนใจอยากจะลองออกกำลังกายเช่นนี้ ต้องเข้ารับการรักษาให้อยู่ในความใกล้ชิดของแพทย์ ผู้เชี่ยวชาญ และนักกายภาพบำบัดเท่านั้น เพื่อการรักษาที่ถูกต้องและเพื่อให้ได้รับผลการรักษาที่ดีที่สุดสำหรับผู้ป่วยนั่นเอง
——————————–
ข้อควรระวัง: เนื้อหาในบทความ วีดีโอ ข้อความคิดเห็น มีจุดประสงค์เพื่อให้ความรู้ และสาธิตให้ดูเป็นตัวอย่างเท่านั้น ไม่ได้มีความตั้งใจจัดทำขึ้นเพื่อทดแทนการเข้ารับการตรวจ วิเคราะห์ และการวางแผนการรักษาของผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์ ผู้เข้าชมไม่ควรวินิจฉัย หรือ คาดเดาโรคด้วยตัวเองจากการอ่านบทความ ข้อคิดเห็น หรือ ดูวีดีโอ นี้ คนไข้ควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์ของตนเองเพื่อทราบสาเหตุที่แท้จริงของอาการปวด และเพื่อหลีกเลี่ยงการปวดที่อาจเกิดเพิ่มมากขึ้นในภายหลัง
บทความที่น่าสนใจ
- นั่งนาน ปวดหลัง แก้ได้ไม่ยาก
- ปวดกล้ามเนื้อหลัง (Myofascial Pain Syndrome)
- ปวดหัว มึนหัว ปวดกระบอกตา คล้ายไมเกรน