“สมองพิการ” กับการทำกายภาพ ยิ่งทำยิ่งส่งผลดี
“สมองพิการ” เป็นภาวะที่ผิดปกติทางสมองซึ่งส่วนใหญ่จะเกิดในผู้ป่วยเด็กเล็กและทารก โดยความผิดปกติเช่นนี้ส่งผลให้ผู้ป่วยมีพัฒนาการในด้านของการเคลื่อนไหวและท่าทางผิดปกติหรือไม่สมบูรณ์ โดยรวมตั้งแต่ ลำตัว ใบหน้า และลิ้น ซึ่งความผิดปกตินี้จะคงที่และไม่ลุกลาม ทั้งนี้อาการของผู้ป่วยแต่ละคนจะรุนแรงมากน้อยแค่ไหนก็ขึ้นอยู่กับแต่ละกรณี เพราะจะขึ้นอยู่กับตำแหน่งของสมองที่เกิดความเสียหายนั่นเอง อย่างไรก็ดี “ผู้ป่วยสมองพิการ” สามารถถูกรักษาและบำบัดได้หลายวิธี โดยมีวิธีหนึ่งที่ผู้ดูแลผู้ป่วยสามารถบำบัดผู้ป่วยเองได้ง่ายๆ คือ กายภาพบำบัด นั่นเอง
“สมองพิการ” คืออะไร และมีสาเหตุมาจากอะไรได้บ้าง?
ภาวะสมองพิการ คือ ภาวะความผิดปกติทางด้านการเคลื่อนไหวและท่าทางที่พบในทารกหรือเด็ก สาเหตุจากการบาดเจ็บหรือความผิดปกติของเนื้อสมองจากสาเหตุต่าง ๆ ซึ่งพบอุบัติการณ์ของภาวะนี้สูงที่สุดในภาวะความพิการทางระบบกล้ามเนื้อและการเคลื่อนไหวที่พบในทารกหรือเด็ก การดูแลฟื้นฟูเด็กสมองพิการนั้น เด็กควรได้รับการตรวจประเมินจากแพทย์ตั้งแต่แรกคลอด โดยแพทย์จะทำการตรวจร่างกายระบบกล้ามเนื้อและระบบประสาท รวมทั้งประเมินพัฒนาการด้านต่าง ๆ อย่างละเอียด เช่น พัฒนาการการเคลื่อนไหว การใช้กล้ามเนื้อมัดเล็ก มัดใหญ่ พัฒนาการทางภาษาและสังคม พัฒนาช่องปากและการดูดกลืน เพื่อช่วยให้ทราบเกี่ยวกับความผิดปกติที่เกิดขึ้น นำไปสู่การวินิจฉัย กำหนดเป้าหมาย และวางแผนการรักษา ให้โปรแกรมการฟื้นฟูและกระตุ้นพัฒนาการได้อย่างถูกต้องและเหมาะสมตั้งแต่เบื้องต้น เพื่อผลที่ดีที่สุด ลดโอกาสเกิดภาวะแทรกซ้อน และเพื่อให้เด็กมีพัฒนาการใกล้เคียงปกติมากที่สุดนั่นเอง
สาเหตุและความเสี่ยงที่ทำให้เกิดภาวะสมองพิการในเด็ก
เนื่องจากในปัจจุบัน ยังไม่สามารถทราบได้ว่าสาเหตุที่แท้จริงของการเกิดภาวะสมองพิการที่แท้จริงแล้วคืออะไร แต่สามารถเกิดได้จากความเสี่ยงต่างๆ ดังนี้
-
ความเสี่ยงตั้งแต่อยู่ในครรภ์
เช่น ภาวะตัวเล็กในครรภ์ น้ำหนักแรกคลอดน้อย เกิดการติดเชื้อขณะตั้งครรภ์ มารดามีโรคประจำตัว เป็นต้น
-
ความเสี่ยงระหว่างคลอด
เช่น เด็กคลอดก่อนกำหนด คลอดยาก มีความเสียหายของศีรษะทารกในระหว่างการคลอด สมองและภาวะเลือดขาดออกซิเจนในช่วงแรก เป็นต้น
-
ความเสี่ยงหลังคลอด
เช่น มีการบาดเจ็บหรือเลือดออกในสมอง ติดเชื้อในสมองหลังคลอด ภาวะตัวเหลือง พันธุกรรม เป็นต้น
ประเภทของผู้ป่วยสมองพิการในเด็ก
-
Spastic CP
เป็นประเภทที่พบได้มากที่สุดร้อยละ70 – 80ของเด็กสมองพิการทั้งหมด จะมีอาการแข็งเกร็งของกล้ามเนื้อโดยเฉพาะแขนหรือขา อาจจะเกิดขึ้นได้ตลอดทั้งลำตัว มีลักษณะท่าทางที่ผิดปกติของร่างกายปรากฏให้เห็น เช่น ลำตัวและแขนขาเกร็งครึ่งซีก ขามีอาการเกร็งมากกว่าแขน และ แขนขามีอาการเกร็งมาก
-
Athetoid CP
พบได้ประมาณ 1 ใน 4 ของของเด็กสมองพิการทั้งหมด อาการกล้ามเนื้อแข็งตึงหรืออ่อนแรงสลับกันไปมาเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา ซึ่งอาจทำให้มีอาการชักหรือไม่สามารถควบคุมการเคลื่อนไหวของร่างกายได้ มีการเคลื่อนไหวมากที่มือและเท้า บางรายอาจมีคอเอียง ปากเบี้ยวร่วมด้วย
-
Ataxic CP
พบได้น้อย มีปัญหาในการทรงตัว สมดุลร่างกาย และการประสานงานของระบบต่าง ๆ รวมทั้งอาจมีอาการสั่นร่วมด้วย มีปัญหาในการทรงตัว สมดุลร่างกาย และการประสานงานของระบบต่าง ๆ รวมทั้งอาจมีอาการสั่นร่วมด้วย
-
Mixed CP
มีลักษณะสมองพิการมากกว่า 1 ชนิดเกิดขึ้นร่วมกัน
อาการที่สามารถสังเกตได้
ดังที่กล่าวไว้ข้างต้นว่าผู้ป่วยแต่ละคนนั้นจะแสดงอาการที่แตกต่างกันออกไป ซึ่งจะขึ้นอยู่กับตำแหน่งการบาดเจ็บของเนื้อสมองว่าสมองในส่วนนั้นทำหน้าที่อย่างไร โดยอาการ อาการแสดง หรือความผิดปกติในกลุ่มเด็กสมองพิการ และแนวทางการดูแลฟื้นฟูในแต่ละด้าน ประกอบด้วย
1.พัฒนาการล่าช้า
เนื่องจากผู้ป่วยในกลุ่มนี้มีความผิดปกติของสมองที่ทำหน้าที่สั่งการด้านการเคลื่อนไหวและกล้ามเนื้อผิดปกติ ทำให้กล้ามเนื้ออ่อนแรง ควบคุมลำบาก ส่งผลต่อการเคลื่อนไหวและพัฒนาการในด้านต่าง ๆ ล่าช้ากว่าอายุจริง ได้แก่ พัฒนาการกล้ามเนื้อมัดใหญ่ มัดเล็ก เช่น การชันคอ นั่ง ยืน เดิน หรือพัฒนาการหยิบจับ นอกจากนี้ยังพบปัญหาพัฒนาการด้านภาษาและสังคม เด็กอาจมีปัญหาพูดช้ากว่าเด็กปกติ หรือพูดไม่ชัด การประเมินและฝึกกระตุ้นส่งเสริมพัฒนาการด้านต่าง ๆ และฟื้นฟูกำลังกล้ามเนื้อ จึงเป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่ง โดยจะต้องกระทำตั้งแต่ระยะเริ่มแรก
2. ภาวะกล้ามเนื้อเกร็ง และข้อยึดติด
เป็นปัญหาสำคัญและพบบ่อยในเด็กสมองพิการ ซึ่งมักพบภาวะกล้ามเนื้อตึงตัวและเกร็งมากกว่าปกติ ทำให้ข้อต่อยืดเหยียดลำบาก ส่งผลรบกวนการประกอบกิจวัตรประจำวัน และอาจเกิดภาวะแทรกซ้อน เช่น ภาวะข้อต่อติดผิดรูป ทำให้การจัดท่าผู้ป่วยและการดูแลสุขอนามัยได้ลำบาก เกิดภาวะแผลกดทับตามมาได้ บางรายทำให้การเดินไม่ปกติ เช่น เดินในท่าเขย่ง เข่างอ เป็นต้น
3. ปัญหากระดูกเคลื่อน
ผู้ป่วยที่แสดงอาการนี้ มักจะมีปัญหากับอวัยวะที่ใช้ ดูด เคี้ยว กลืน ซึ่งประกอบด้วยกล้ามเนื้อริมฝีปาก ลิ้น คอ และกล้ามเนื้อหายใจ อ่อนแรง มีการเคลื่อนไหวผิดปกติ และ/หรือทำงานไม่ประสานกัน ส่งผลต่อคุณภาพการดูด เคี้ยว และการกลืน การควบคุมน้ำลาย บางรายพบภาวะกรดไหลย้อนร่วมด้วย ซึ่งอาจส่งผลต่อภาวะโภชนาการของเด็ก และมีความเสี่ยงต่อภาวะสำลัก ปอดอักเสบ โดยแพทย์จะวางแผนการรักษาที่เหมาะสม ได้แก่ การจัดท่าทาง ท่าอุ้มหรือแนะนำการใช้เก้าอี้ที่เหมาะสม โดยจัดให้ศีรษะเด็กก้มเล็กน้อยระหว่างกลืน เพื่อช่วยให้เด็กปิดปากและกลืนได้ดีขึ้น เพื่อป้องกันการสำลัก นอกจากนี้นักกิจกรรมบำบัดจะให้คำแนะนำผู้ปกครอง ในการนวดกระตุ้นและออกกำลังกล้ามเนื้อริมฝีปาก ลิ้น คาง กราม เพื่อกระตุ้นพัฒนาการดูดกลืน และการเคี้ยว การให้คำแนะนำสูตรหรือลักษณะอาหารที่เหมาะสม ให้การรักษาภาวะกรดไหลย้อนที่พบร่วมด้วย ในบางรายที่มีปัญหาการดูดกลืนมาก ทำให้เสี่ยงต่อภาวะทุพโภชนาการ ซึ่งแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญอาจพิจารณาการให้อาหารทางสายยาง
4. ปัญหาระบบหายใจ
ผู้ป่วยที่แสดงอาการนี้จะมีความเสี่ยงต่อภาวะความผิดปกติของระบบหายใจ ไม่ว่าจะเป็นการควบคุมกล้ามเนื้อของอวัยวะที่เกี่ยวข้อง การไอก็จะไม่มีประสิทธิภาพ รวมไปถึงการขจัดเสมหะก็ไม่สามารถทำได้อย่างเต็มที่ ดังนั้นการฟื้นฟูที่เหมาะสม คือ การให้คำแนะนำในการออกกำลังกายกล้ามเนื้อปอดและกระบังลม ในบางรายนักกายภาพบำบัดจะแนะนำการเคาะหรือสั่นปอดและการจัดท่าเพื่อระบายเสมหะ
แนวทางการบำบัดและฟื้นฟู
เนื่องจากเด็กสมองพิการนั้นมักมีปัญหาทางร่างกายร่วมกันหลายอย่าง อีกทั้งยังสามารถมีภาวะแทรกซ้อนได้อีก ดังนั้นในการรักษา บำบัด และฟื้นฟูต้องคอยอาศัยแพทย์และผู้เชี่ยวชาญจากหลายแขนงคอยให้คำแนะนำที่ถูกต้องเพื่อให้ผลการรักษาเป็นการตอบรับที่ดีและมีประสิทธิภาพ วิธีการบำบัดและฟื้นฟูผู้ป่วยสมองพิการ สามารถทำได้ตามกิจกรรมดังนี้
1.กายภาพบำบัด
- กายภาพบำบัดด้วยการจัดท่าให้ถูกต้องและเหมาะสม เช่น ท่านอน ท่านั่ง เป็นต้น
- กายภาพฟื้นฟูด้วยการบริหารและฝึกเคลื่อนไหวข้อต่อ
- ปรับสมดุลท่าทางและการทรงตัวรวมถังกรตุ้นให้ผู้ป่วยมีความเคลื่อนไหว
- ใช้อุปกรณ์พิเศษทางกายภาพบำบัด เช่น อุปกรณ์การหัดเดิน เป็นต้น
2. กิจกรรมบำบัด
- การฝึกหยิบจับ ซึ่งอาจใช้ของเล่นที่เป็นการจับคู่รูปทรง หรือตัวต่อ เป็นต้น
- การฝึกคืบ กิจกรรมนี้จะกระตุ้นให้ผู้ป่วยเคลื่อนไหวได้มากขึ้น
3. นันทนาการและอรรถบำบัด
นักบำบัดจะปรับวิธีการบำบัดให้สอดคล้องตามลักษณะเฉพาะของผู้ป่วยแต่ละรายโดยแก้ไขความบกพร่องกับกระบวนการพูด ระบบภาษา การทำงานของอวัยวะในช่องปาก คอ หลอดอาหารช่วงต้น การปรับพฤติกรรม การเรียนรู้ อารมณ์ และการอยู่ร่วมกันในสังคม รวมถึงแนะนำแก่ผู้ปกครอง ญาติ ผู้ดูแล หรือผู้เกี่ยวข้องให้มีความเข้าใจเกี่ยวกับความผิดปกติของผู้ป่วยและเรียนรู้วิธีการรักษาที่ถูกต้อง โดยส่วนใหญ่แล้วจะทำร่วมกับกิจกรรมนันทนาการและดนตรีมาประกอบร่วมกัน อย่างไรก็ดี การดูแล บำบัด และฟื้นฟูผู้ป่วยสมองพิการในเด็ก ค่อนข้างเป็นเรื่องที่ต้องอาศัยความใส่ใจเป็นอย่างมาก เพราะมีความละเอียดอ่อนและมีรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ที่ต้องทำความเข้าใจ ดังนั้นผู้ดูแลจึงต้องทำความเข้าใจในการรักษา หรือถ้าหากต้องการคำแนะนำก็สามารถปรึกษาแพทย์ ผู้เชี่ยวชาญ หรือนักกายภาพบำบัดต่างๆ เพื่อหาแนวทางในการดูแลผู้ป่วยให้มากขึ้นและถูกต้องนั่นเอง
——————————–
ข้อควรระวัง: เนื้อหาในบทความ วีดีโอ ข้อความคิดเห็น มีจุดประสงค์เพื่อให้ความรู้ และสาธิตให้ดูเป็นตัวอย่างเท่านั้น ไม่ได้มีความตั้งใจจัดทำขึ้นเพื่อทดแทนการเข้ารับการตรวจ วิเคราะห์ และการวางแผนการรักษาของผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์ ผู้เข้าชมไม่ควรวินิจฉัย หรือ คาดเดาโรคด้วยตัวเองจากการอ่านบทความ ข้อคิดเห็น หรือ ดูวีดีโอ นี้ คนไข้ควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์ของตนเองเพื่อทราบสาเหตุที่แท้จริงของอาการปวด และเพื่อหลีกเลี่ยงการปวดที่อาจเกิดเพิ่มมากขึ้นในภายหลัง
บทความที่น่าสนใจ
- นั่งนาน ปวดหลัง แก้ได้ไม่ยาก
- ปวดกล้ามเนื้อหลัง (Myofascial Pain Syndrome)
- ปวดหัว มึนหัว ปวดกระบอกตา คล้ายไมเกรน