“วิ่งแล้วเจ็บข้างเท้าด้านใน” อาการที่ไม่น่าวางใจสำหรับนักกีฬา
“วิ่งแล้วเจ็บข้างเท้าด้านใน” อาการที่เหล่านักวิ่งและหลายๆ คนเคยประสบปัญหามาแล้ว หากพูดให้เห็นภาพได้ง่าย ๆ หากเปรียบเทียบว่านักวิ่งเป็นรถยนต์ การมีปัญหาเจ็บเท้าด้านในก็เทียบได้กับรถที่ยางแตกได้เลยทีเดียว อย่างไรก็ดี อาการนี้ไม่ใช่อาการที่พึงประสงค์เท่าไหร่สำหรับนักวิ่งที่เป็นนักกีฬา รวมถึงผู้ที่ชื่นชอบในการวิ่ง เพราะหากปล่อยไว้ ไม่รักษา ก็จะเกิดอาการเรื้อรัง หลังจากนั้นอาจจะรักษายากและต้องหยุดพักการวิ่งกันไปแบบยาวๆ ก็เป็นได้
“วิ่งแล้วเจ็บข้างเท้าด้านใน” คืออะไร มีสาเหตุมาจากอะไรแน่?
โดยทั่วไป อาการเจ็บเช่นนี้อาจมาได้จากหลายสาเหตุ ซึ่งอาจจะมาจากการเป็นโรคที่เกี่ยวกับเท้า เช่น รองช้ำ เท้าแบน หรืออาจมาจากบาดเจ็บหรือการอักเสบของอวัยวะต่างๆ เช่น ข้อเท้า เส้นเอ็น เป็นต้น ซึ่งสาเหตุส่วนใหญ่แล้วอาการเจ็บเท้าด้านในจะมาจากการ การอักเสบของเส้นเอ็น นั่นเอง
“การอักเสบของเส้นเอ็น” คือ…
PTTD – Posterior Tibial Tendon Dysfunction หรือ “เอ็นเท้าอักเสบ” เริ่มวิ่งเหยาะๆ จะรู้สึกเจ็บตึงนิดๆ ซึ่งในช่วงนี้ ผู้ป่วยอาจไม่เอะใจกับอาการเจ็บนี้ เนื่องจากเป็นการเจ็บที่สามารถทนได้ และอาจหายไปเอง ในขณะที่วิ่งไปเรื่อยๆ ทว่าหลังจากวิ่งเสร็จ ลดความเร็วมาเป็นการเดิน อาการเจ็บจะกลับมารุนแรง ยิ่งวิ่งนานเท่าไหร่ ยิ่งวิ่งไกลเท่าไหร่ก็ยิ่งมีความสัมพันธ์กับความเจ็บปวดนี้
สาเหตุของอาการเส้นเอ็นเท้าอักเสบ
ขาและเท้าของคนเรามีกล้ามเนื้อหลายหมัดที่ทำงานสัมพันธ์กันตลอดเวลา แต่ในขณะที่เรามุ่งออกกำลังกายด้วยการวิ่งเป็นหลัก จริงอยู่ที่กล้ามเนื้อหลายส่วนแข็งแรงขึ้น ทนทานได้ดีขึ้น แต่ก็มีบางส่วน เช่น “เส้นเอ็น” ที่ต้องทำหน้าที่เป็นตัวยึดกล้ามเนื้อกับข้อต่อต่างๆ ไม่ได้ถูกพัฒนาให้แข็งแรงตามไปด้วย แค่ยืดหยุ่นตามแรงกระทำ พอเราออกกำลังกายนานๆ ได้ ทนทานความเหนื่อยได้ แต่เส้นเอ็นไม่สามารถรับการใช้งานหนักๆ และซ้ำๆ นั้นได้ จึงเกิดการอักเสบเพื่อเป็นสัญญาณให้เจ้าของร่างกายถนอมมันให้ดี
3 อันดับ สาเหตุยอดฮิตของนักกีฬาที่ทำให้เส้นเอ็นอักเสบ
- ขาดการเตรียมร่างกายก่อนออกกำลังกาย
- ออกกำลังกายหนักเกินไป เช่น การออกกำลังกายแบบการยกเวท ที่เรียกน้ำหนักมากจนเกินไป
- ออกกำลังกาย หรือเล่นกีฬาท่าเดิมซ้ำมากเกินไป หรือเร็วจนเกินไป เช่น เทนนิส (ข้อมือ ข้อศอก) ว่ายน้ำ (ไหล่ แขน) กอล์ฟ (แขน หลัง เอว)
ลักษณะอาการ
- รู้สึกปวดตื้อๆ บ่อยครั้ง โดยเฉพาะเมื่อมีการเคลื่อนไหวที่ใช้แขนขาหรือข้อต่อนั้นๆ
- ใช้การเคลื่อนไหวเอ็นกล้ามเนื้อได้ลำบาก
- มีอาการฟกช้ำ
- มีอาการบวม บางครั้งอาจรู้สึกอุ่นๆ หรือมีอาการแดงร่วมด้วย
- มีก้อนบวมนูนตามเอ็นกล้ามเนื้อนั้นๆ
ความรุนแรงที่อาจเกิดขึ้นเมื่อเส้นเอ็นเท้ามีอาการอักเสบ
- หากเป็นซ้ำ เรื้อรัง ก็จำเป็นต้องผ่าตัด เพราะเป็นลักษณะการบวมตึงหรือเคลื่อนไหวผิดจังหวะจนมันไปเสียดสีกับกระดูก (ไม่อยากจะคิด)
- การผ่าตัด ณ จุดนี้ก็เสี่ยงติดเชื้อ เพราะว่าแผลอยู่ที่เท้าล่างสัมผัสกับพื้นโดยตรง
- มีโอกาสที่จะเดินได้ไม่สมดุลย์ดังเดิม ออกกำลังกายหนักหรือรวดเร็วไม่ได้อีกเลย
แนวทางการรักษา
- ประคบน้ำแข็งทันทีที่รู้สึกเจ็บตึงครั้ง 15 นาที วันละ 2-3 ครั้งให้เส้นหายบวม ให้ประคบในวันแรกที่เป็นเลยจะยิ่งดี
- ไม่ต้องนวดเพราะยิ่งกระตุ้นอาการ
- อาจใช้วิธีพันผ้าไว้
- ลดกิจกรรมการเดิน การถ่ายน้ำหนักที่ไปขาข้างที่เจ็บ
- งดวิ่งจนกว่าจะหายเจ็บสนิท ใช้เวลา 1-2 สัปดาห์หรือนานกว่านั้น
- รับประทานยาคลายกล้ามเนื้อ แนะนำว่าให้แพทย์จ่ายให้
การรักษาโดยกายภาพบำบัด
เป็นวิธีบำบัดรักษาโดยใช้การออกกำลังกาย เพื่อช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นและความแข็งแรงของเอ็นกล้ามเนื้อที่อักเสบ รวมถึงกล้ามเนื้อบริเวณรอบๆ เช่น การเพิ่มความต้านทานของกล้ามเนื้อที่เน้นการเกร็งตัวในขณะที่มีการยืดตัว ซึ่งพิสูจน์แล้วว่ามีประสิทธิภาพในการรักษาการอักเสบเรื้อรังของเอ็นกล้ามเนื้อ
กายภาพบำบัดง่ายๆ ด้วยตนเอง
- นอกจากหมั่นยืดเหยียดแล้ว ก็คือการหาลูกเทนนิสกลมๆ มา้ใช้เท้าคลึงไปมา เพื่อบริหารยืดหยุ่นของเท้า ทำได้ที่ใต้โต๊ะทำงาน
- ฝึกใช้เท้าเขียนตัวอักษร A-Z เพื่อฟื้นฟูการควบคุมการเคลื่อนไหวของเท้าให้ดีขึ้น
ท้ายที่สุด สิ่งที่สำคัญคือ ไม่ควรปล่อยให้อาการนี้เป็นอาการเรื้อรัง เพราะมิเช่นนั้นอาจเกิดผลข้างเคียงและอาการแทรกซ้อนที่ตามมาอีกมากมาย หากพบว่าตนเองมีอาการเจ็บที่เท้าขณะวิ่ง ควรรีบพบแพทย์หรือนักกายภาพเพื่อตรวจสอบให้ชัดเจนย่อมดีกว่าเพื่อสุขภาพในระยะยาว
——————————–
ข้อควรระวัง: เนื้อหาในบทความ วีดีโอ ข้อความคิดเห็น มีจุดประสงค์เพื่อให้ความรู้ และสาธิตให้ดูเป็นตัวอย่างเท่านั้น ไม่ได้มีความตั้งใจจัดทำขึ้นเพื่อทดแทนการเข้ารับการตรวจ วิเคราะห์ และการวางแผนการรักษาของผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์ ผู้เข้าชมไม่ควรวินิจฉัย หรือ คาดเดาโรคด้วยตัวเองจากการอ่านบทความ ข้อคิดเห็น หรือ ดูวีดีโอ นี้ คนไข้ควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์ของตนเองเพื่อทราบสาเหตุที่แท้จริงของอาการปวด และเพื่อหลีกเลี่ยงการปวดที่อาจเกิดเพิ่มมากขึ้นในภายหลัง
บทความที่น่าสนใจ
- ฟกช้ำ ดำ เขียว ประคบแบบไหนดีจึงจะหาย?
- “เข่าเสื่อม” เกิดเฉพาะกับผู้สูงวัยเท่านั้น จริงหรือ?
- “โรครองช้ำ” คืออะไร อันตรายมากแค่ไหน?