ปวดหัว มึนหัว ปวดกระบอกตา คล้ายไมเกรน

ปวดหัว มึนหัว ปวดกระบอกตา จากกล้ามเนื้อคอบ่า (Myofascial Trigger Point)
อาการ ปวดหัว มึนหัว ปวดกระบอกตา คล้ายไมเกรน สามารถเกิดได้หลายสาเหตุไม่ว่าจะเกิดจากไมเกรนจริงๆ หรือเกิดจากความผิดปกติของระบบสมองและประสาทอื่นๆ แต่มีอีกสาเหตุหนึ่งที่พบบ่อยในปัจจุบันเนื่องจากการใช้ชีวิตประจำวันที่เปลี่ยนไป เช่น ผู้ที่ต้องทำงานกับหน้าจอคอมพิวเตอร์ จอมือถือ หรือต้องนั่งโต๊ะนานๆเกินกว่า 3-4 ชั่วโมงต่อวันขึ้นไป จากผลของลักษณะดังกล่าวทำให้เกิดอาการปวดหลัง (บทความ “อาการปวดหลังจากนั่งนานๆ”) รวมถึงอาการปวดหัวที่มีสาเหตุมาจากกล้ามเนื้อบริเวณคอ บ่า มีการปวดอักเสบ มีความตึงตัวสูง หรือเกร็งตัวผิดปกติ สามารถส่งผลให้มีอาการปวดร้าวไปยังกระบอกตา หัวคิ้ว ขมับ หรือบริเวณอื่นๆ ของศีรษะได้เช่นกัน
หากปล่อยให้กล้ามเนื้อ คอ บ่า หรือ ท้ายทอย แข็งเกร็งนานๆจะส่งผลต่อการไหลเวียนของเลือดภายในกล้ามเนื้อลดลงจนเกิดการคั่งค้างของของเสียเพิ่มขึ้นและขาดออกซิเจน เมื่อเกินการสั่งสมต่อเนื่องเป็นเวลานานหลายเดือน หรือเป็นปี จะทำให้เกิดการอักเสบ การตึง และหดสั้นของกล้ามเนื้อจนเกิดเป็นจุดกดเจ็บในกล้ามเนื้อที่เรียกว่า “ทริกเกอร์พอยท์” (Myofascial Trigger Point)

อาการ
- มึนหัว
- ปวดหัวตื้อ อาจปวดข้างเดียว หรือ สองข้างก็ได้
- ผู้ป่วยบางรายมีอาการปวดกระบอกตา หัวคิ้ว หรือ ขมับร่วมด้วย
- ผู้ป่วยมักมีอาการปวดบริเวณ ต้นคอ หรือ สะบัก หรือ บ่า อย่างใดอย่างหนึ่งร่วมด้วย เนื่องจากเป็นตำแหน่งที่สามารถส่งสัญญาณปวดไปตามเส้นประสาทส่วนปลายที่หัว หรือ ตา ได้
ทำไมปวดตึงกล้ามเนื้อคอบ่า จึงทำให้ปวดหัวร่วมด้วย?

เมื่อเรามีการใช้กล้ามเนื้อคอบ่ามากเกินไป (Muscle overuse) โดยเฉพาะจากการอยู่ในท่าทางที่ไม่ดีนานๆ นั่งหลังค่อมนานๆ (Poor posture) หรือแม้แต่การมีความเครียดสะสม จะทำให้กล้ามเนื้อเกิดเกร็งเป็นก้อนแข็ง และเกิดจุดกดเจ็บภายในกล้ามเนื้อ (Muscle Trigger point) ที่ถูกกระตุ้นได้ง่ายเมื่อได้รับแรงกด หรือสารเคมีที่หลั่งภายในกล้ามเนื้อเอง อาการปวดที่กล้ามเนื้อสามารถส่งสัญญาณปวดไปตามเส้นประสาทส่วนปลาย ทำให้มีอาการปวดที่ขมับ หรือปลายทางที่เส้นประสาทผ่านไปเลี้ยงได้
จากภาพจุดที่แสดงกากบาท คือ จุดกดเจ็บในกล้ามเนื้อ (Muscle Trigger Point) และตำแหน่งโซนสีแดงหมายถึงตำแหน่งที่สามารถแสดงอาการปวดร่วม (Referred pain) หากต้องการทดสอบอาการปวดศีรษะที่เกิดจากกล้ามเนื้อคอบ่าสามารถทดสอบได้โดย ทำการเคลื่อนไหวคอตามตำแหน่งของกล้ามเนื้อ (Active movement) หรือออกแรงเกร็งกล้ามเนื้อ (Muscle Contraction) หรือที่ง่ายที่สุด คือ การกดไปยังบริเวณกล้ามเนื้อที่มีก้อนเกร็งหรือเจ็บ หากมีอาการปวดร้าวไปยังบริเวณศีรษะ อาจเป็นไปได้ว่า อาการปวดศีรษะนั้นเกิดจากกล้ามเนื้อนั่นเอง
ซึ่งปัจจุบัน พบว่า ทั้งไมเกรนและอาการปวดศีรษะจากความเครียด มักมีอาการปวดตึงที่กล้ามเนื้อคอบ่าร่วมด้วย และเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้เกิดอาการปวด แพทย์จึงมักแนะนำให้ทำกายภาพบำบัดร่วมกับรับประทานยาเพื่อบรรเทาอาการ
การรักษาอาการ ปวดหัว มึนหัว ปวดกระบอกตา ด้วยกายภาพบำบัด
เนื่องจากอาการปวดศีรษะ เกิดจากจุดกดเจ็บในกล้ามเนื้อ (Muscle Trigger Point) ดังนั้น การรักษาที่เหมาะสม คือ การลดความตึงตัว ลดการอักเสบหรือจุดกดเจ็บของกล้ามเนื้อบริเวณดังกล่าว ซึ่งทางกายภาพบำบัดมีวิธีลดอาการปวด ดังตัวอย่างเบื้องต้นนี้
1.การใช้เครื่องมือทางกายภาพบำบัดเพื่อลดอาการปวด ลดความตึงตัวและเกร็งของกล้ามเนื้อ ได้แก่ Ultrasound Therapy และ Laser Therapy

2. การผ่อนคลายกล้ามเนื้อด้วยเทคนิคต่างๆ เช่น การกดคลายด้วยมือ (Manual therapy) การยืดกล้ามเนื้อ (Stretching) การนวดคลาย (Massage) เป็นต้น

3. การบริหารและออกกำลังกายเพื่อเพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ (Strengthening) ที่เป็นสาเหตุและจัดท่าทางของร่างกายให้ดี (Ergonomics) เพื่อผลลดอาการในระยะยาว

อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าอาการปวดเกิดจากสาเหตุใด หากเกิดอาการปวดอย่างมากในระยะแรก อาจไม่สามารถแยกแยะอาการด้วยตนเองได้ ควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ หรือนักกายภาพบำบัดเพื่อตรวจวินิจฉัยและรักษาอาการอย่างถูกวิธี เพราะการรักษาที่ไม่ถูกต้อง อาจเป็นที่มาของอาการเรื้อรังได้
——————————–
ข้อควรระวัง: เนื้อหาในบทความ วีดีโอ ข้อความคิดเห็น มีจุดประสงค์เพื่อให้ความรู้ และสาธิตให้ดูเป็นตัวอย่างเท่านั้น ไม่ได้มีความตั้งใจจัดทำขึ้นเพื่อทดแทนการเข้ารับการตรวจ วิเคราะห์ และการวางแผนการรักษาของผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์ ผู้เข้าชมไม่ควรวินิจฉัย หรือ คาดเดาโรคด้วยตัวเองจากการอ่านบทความ ข้อคิดเห็น หรือ ดูวีดีโอ นี้ คนไข้ควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์ของตนเองเพื่อทราบสาเหตุที่แท้จริงของอาการปวด และเพื่อหลีกเลี่ยงการปวดที่อาจเกิดเพิ่มมากขึ้นในภายหลัง
บทความที่น่าสนใจ
- “ปวดหัวข้างเดียว” เป็นอะไรแน่ รักษายังไงดี?
- ปวดหัวตุ้บๆ ข้างขวา อาการแบบนี้เป็นไมเกรนหรือเปล่า?
- “ปวดหลังคอ”มีหลายแบบ-ปวดแบบไหนที่เสี่ยงอันตราย
ทำไมต้องเลือก Newton Em Clinic
Newton Em Clinic เป็นคลินิกภายภาพที่มุ่งเน้นการบริการทางด้านกายภาพบำบัดเพื่อรักษาอาการบาดเจ็บจากการเล่นกีฬา ออฟฟิศซินโดรม และอาการปวดตามส่วนต่างๆ เช่น หลัง บ่า เข่า และข้อ เป็นต้น ด้วยบริการต่างๆ ดังนี้ กายภาพบำบัดทั่วไป กายภาพบำบัดหลังผ่าตัด การรักษาอาการบาดเจ็บทางกีฬา นวดการกีฬา โปรแกรมยืดกล้ามเนื้อ โปรแกรมเตรียมความพร้อมให้กับนักกีฬาก่อนแข่ง โปรแกรมฟื้นฟูกล้ามเนื้อหลังแข่ง การตรวจโครงสร้างทางร่างกาย โปรแกรมออกกำลังกายในน้ำ โปรแกรมออกกำลังกายรักษาอาการปวด พิลาทิส รับปรึกษาแผนการพัฒนาความคิดและพฤติกรรมสำหรับเด็ก และกายภาพบำบัดในท่อน้ำนมอุดตันสำหรับหญิงหลังคลอด ซึ่งเรามีความรู้และความเชี่ยวชาญด้านการรักษาและฟื้นฟูสมรรถภาพทางร่างกายตามมาตรฐานด้วยเทคนิคเฉพาะทาง การดูแล และให้คำแนะนำอย่างมืออาชีพ เพราะเรามีทีมนักกายภาพบำบัดที่มีประสบการณ์โดยตรง เหมาะสำหรับกลุ่มนักกีฬา ผู้ที่ออกกำลังกาย และผู้ที่มีภาวะจำเป็นที่ต้องเข้ารับการรักษาด้วยการทำกายภาพบำบัดเช่น สมองพิการในเด็ก คุณแม่หลังคลอด และผู้สูงอายุ ปัจจุบันเรามีคลินิกที่พร้อมให้บริการจำนวน 4 สาขา โดยแต่ละสาขาจะมีการให้บริการ การรักษาขั้นพื้นฐานที่เหมือนกัน และยังมีการให้บริการที่เชี่ยวชาญเฉพาะทางของแต่ละสาขา โดยนักกายภาพที่มีประสบการณ์และผ่านการอบรมเฉพาะด้านเพื่อผลิตผู้รักษาให้ตรงตามอาการของผู้ป่วยทุกคน คลินิก Newton Em พร้อมให้บริการจำนวน 4 สาขา
- สาขาลาดพร้าว เบอร์โทร 099-553-9445
- สาขาราชดำริ เบอร์โทร 099-553-9445
- สาขาทองหล่อ เบอร์โทร 099-553-9445
- สาขากาญจนาภิเษก เบอร์โทร 099-553-9445, 083-559-5954
.เวลาทำการ: วันจันทร์ – วันเสาร์ เวลา 10:00 น. – 19:00 น.
ปรึกษา นัดหมาย หรือสอบถามเพิ่มเติม
Tel: 099-553-9445
ปรึกษา หรือ ติดตามความรู้สุขภาพอื่นๆได้ตามช่องทางด้านล่าง
อ้างอิง
- https://www.airrosti.com/injuries-we-treat/headaches/
- https://www.lisadeliema.com/2018/10/11/head-aches-and-trigger-point-therapy/
- https://med.mahidol.ac.th
- Arendt-Nielsen L. Headache: muscle tension, trigger points and referred pain. Int J Clin Pract Suppl. May(182):8-12.
- Do TP, Heldarskard GF, Kolding LT, Hvedstrup J, Schytz HW. Myofascial trigger points in migraine and tension-type headache. J Headache Pain. Sep 10;19(1):84.