ปวดต้นขาด้านหลัง อาการนี้คืออะไร แก้ยังไงดี?
“ปวดต้นขาด้านหลัง” เป็นอาการของกล้ามเนื้อต้นขาด้านหลังที่ถูกฉีกกระชากจนกล้ามเนื้อบางส่วนฉีกขาดและเกิดการอักเสบ ซึ่งมักมีสาเหตุมาจากการเล่นกีฬาประเภทวิ่งหรือกระโดด รวมถึงการนั่งทำงานเป็นเวลานาน เพราะกล้ามเนื้อต้องอยู่ในท่าที่หดเกร็งโดยไม่ขยับเขยื้อนนานจนกล้ามเนื้อตึง ทำให้เกิดอาการแพลงหรืออักเสบได้ง่ายนั่นเอง โดยอาการนี้ควรรักษาให้หายเพราะมิเช่นนั้นอาจเกิดการเรื้อรังและจะเกิดการรักษายากในที่สุด
ปวดต้นขาด้านหลัง เกิดจากอะไร อันตรายหรือไม่
การปวดต้นขาด้านหลัง มักถูกเรียกในภาษาอังกฤษว่า Hamstrings strains ซึ่งหมายถึง การบาดเจ็บของกล้ามเนื้อ Hamstrings ซึ่งเกิดการฉีกขาดของเส้นใยกล้ามเนื้อ พบได้บ่อยในคนที่วิ่งหรือเตะบ่อยๆ เช่น นักกีฬาวิ่ง หรือกระโดดสูง เป็นต้น การที่กล้ามเนื้อถูกกระชากอย่างแรงอาดทำให้เกิดการฉีกขาดของส่วนเกาะต้นของกล้ามเนื้อ Ischial tuberosity หรือ ปุ่มกระดูกที่โคนขาด้านใน
สาเหตุของการปวด
1. เกิดจากการหมุนของขาออกนอกอย่างรุนแรง
เช่น ขณะที่อยู่ในท่าขากาง ทำให้เกิดการยืด หรือฉีกขาดของเอ็นหรือกล้ามเนื้อ
2. มีการบาดเจ็บ
โดยอาจมีการบาดเจ็บเล็กๆ น้อยๆ ซ้ำๆ ของกล้ามเนื้อขาหนีบ (hip adductor muscle) ที่เป็นอยู่ก่อนหน้านี้แล้ว
3. เกิดจากกล้ามเนื้อขาหนีบ (hip adductor muscle) ไม่ค่อยแข็งแรง
หากแต่กล้ามเนื้อต้นขาด้านหน้า (quadriceps muscle) แข็งแรงมาก มันจะทำให้การทำงานของกล้ามเนื้อ 2 กลุ่มนี้ไม่สมดุลกัน เกิดการดึงรั้งซึ่งกันและกัน จึงทำให้เกิดการบาดเจ็บตาม
ลักษณะอาการ
อาการข้างต้นจะประกอบด้วย อาการตึง และมีอาการแสบเหมือนมีมีดเสียบเข้าที่ขาหนีบ และส่งผลให้การเคลื่อนไหวของผู้ป่วยในการใช้ชีวิตประจำวันยากลำบากมากยิ่งขึ้น เนื่องจากหากขยับตัวหรือเคลื่อนไหวตัวมากๆ ก็จะยิ่งทำให้เจ็บมากขึ้นนั่นเอง
อาการปวดนี้แก้ยังไงดี?
-
ประคบเย็น
ให้ประคบบริเวณที่มีอาการปวด ประมาณ 15-20 นาที ร่วมกับพักการใช้งาน (ในกรณีที่เกิดอาการบวม)
-
ประคบอุ่น
หากเป็นมานาน และไม่มีอาการบวมแดงร้อน ให้ประคบบริเวณที่มีอาการปวด ประมาณ 15-20 นาที
-
กายภาพบำบัด
เป็นการรักษาจากต้นเหตุของปัญหา ฟื้นฟูให้คุณกลับมาทำกิจวัตรประจำวันหรือเล่นกีฬาได้อย่างปลอดภัยและไร้อาการเจ็บ
-
การฉีดยา
คือฉีดกลูโคสเข้าไปที่บริเวณกล้ามเนื้อที่ได้รับบาดเจ็บ หรือมีการอักเสบ เพื่อกระตุ้นให้เกิดการซ่อมแซมเร่งกระบวนการฟื้นฟูและรักษาตามธรรมชาติ อย่างไรก็ดี อาการปวดเช่นนี้จำเป็นต้องถูกรักษา เพราะมิเช่นนั้นจะเกิดอาการเรื้อรังและอาจส่งผลร้ายในระยะยาว ทั้งนี้ วิธีการรักษาที่กล่าวมาเป็นเพียงส่วนหนึ่งในอีกหลายๆ วิธีที่ผู้ป่วยสามารถเข้ารับการรักษาได้ โดยจะต้องอยู่ภายใต้คำแนะนำและการดูแลของแพทย์ ผู้เชี่ยวชาญ และนักกายภาพอย่างใกล้ชิด เพื่อที่จะได้ผลการรักษาที่มีประสิทธิภาพมากที่สุด ——————————–
ข้อควรระวัง: เนื้อหาในบทความ วีดีโอ ข้อความคิดเห็น มีจุดประสงค์เพื่อให้ความรู้ และสาธิตให้ดูเป็นตัวอย่างเท่านั้น ไม่ได้มีความตั้งใจจัดทำขึ้นเพื่อทดแทนการเข้ารับการตรวจ วิเคราะห์ และการวางแผนการรักษาของผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์ ผู้เข้าชมไม่ควรวินิจฉัย หรือ คาดเดาโรคด้วยตัวเองจากการอ่านบทความ ข้อคิดเห็น หรือ ดูวีดีโอ นี้ คนไข้ควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์ของตนเองเพื่อทราบสาเหตุที่แท้จริงของอาการปวด และเพื่อหลีกเลี่ยงการปวดที่อาจเกิดเพิ่มมากขึ้นในภายหลัง
บทความที่น่าสนใจ
- ชนิดของกล้ามเนื้อ มีอะไรบ้าง? ส่วนไหนเกิดโรคได้ง่ายที่สุด
- “ยืดกล้ามเนื้อ”ยืดถูกวิธีจะช่วยลดปวดได้หลายส่วน
- “กล้ามเนื้ออ่อนแรง” ภัยเงียบที่ต้องเฝ้าระวัง