“นิ้วล็อค” เมื่องอนิ้วไม่ได้ ทำยังไงดี
“นิ้วล็อค” เป็นโรคที่พบบ่อยได้ในคนทั่วไป ในการที่ต้องทำกิจกรรมหรือหยิบ-ยกของอย่างต่อเนื่อง จริงอยู่ที่อาการนี้ไม่ได้เป็นอาการรุนแรงหรือเป็นอันตรายมากมายนัก แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้เลยว่ามันก็สร้างความน่ารำคาญให้กับเราอยู่ไม่ใช่น้อย เพราะจะมีอาการเจ็บปวดและทำให้กิจกรรมที่ทำอยู่ ณ ขณะที่มีอาการต้องหยุดชงักลง ดังนั้นคงจะเป็นการดีที่ทุกคนพึงรู้วิธีแก้ไขเมื่อเกิดอาการนิ้วล็อคขึ้นมา เพื่อจะแก้ไขได้ทันทีและสามารถทำได้อย่างถูกต้อง
“นิ้วล็อค” เกิดจากอะไร มีอาการเป็นอย่างไร?
นิ้วล็อก (Trigger Finger) หมายถึง การที่ข้อนิ้วมีอาการปวด หรือนิ้วล็อค อยู่ในท่างอเหยียดนิ้วออกเองไม่ได้ในขณะที่มีการเคลื่อนไหวข้อนิ้ว เป็นโรคที่พบได้บ่อยในคนทั่วไปที่ต้องใช้มือจับสิ่งของ หรืออุปกรณ์ต่างๆ อย่างต่อเนื่องบ่อยๆ โรคนี้ไม่มีอันตรายใดๆ เพียงแต่ให้ความรู้สึกเจ็บปวด และใช้มือได้ไม่ถนัด เป็นโรคที่สามารถป้องกันและรักษาให้หายได้
สาเหตุเกิดจาก
อาการนี้เป็นความผิดปกติที่นิ้วไม่สามารถงอหรือเหยียดตรงได้ตามปกติ อาจเป็นนิ้วเดียวหรือหลายนิ้วภาวะนี้เกิดจากการเปลี่ยนแปลงที่ปลอกเอ็นบริเวณข้อโคนนิ้วหนาตัวขึ้น เอ็นบวม ทำให้ปลอกรัดเอ็นมากขึ้นนั่นเอง
อาการนิ้วล็อก
สามารถแบ่งออกได้เป็น 4 ระยะ ดังนี้
-
ระยะที่ 1
มีอาการปวดเป็นอาการหลัก โดยจะมีอาการปวดบริเวณโคนนิ้วมือ และจะมีอาการปวดมากขึ้น ถ้าเอานิ้วกดบริเวณฐานนิ้วมือด้านหน้า แต่ยังไม่มีอาการติดสะดุด
-
ระยะที่ 2
มีอาการสะดุด (triggering) เป็นอาการหลัก และอาการปวดก็มักจะเพิ่มมากขึ้นด้วย เวลาขยับนิ้ว งอ และเหยียดนิ้ว จะมีการสะดุดจนรู้สึกได้
-
ระยะที่ 3
มีอาการติดล็อคเป็นอาการหลัก โดยเมื่องอนิ้วลงไปแล้ว จะติดล็อคจนไม่สามารถเหยียดนิ้วออกเองได้ ต้องเอามืออีกข้างมาช่วยเหยียด หรืออาจมีอาการมากขึ้นจนไม่สามารถงอนิ้วลงได้เอง
-
ระยะที่ 4
มีการอักเสบบวมมาก จนนิ้วติดอยู่ในท่างอ ไม่สามารถเหยียดให้ตรงได้ ถึงแม้ว่าจะให้มืออีกข้างนึงมาช่วยเหยียดก็ตาม
วิธีการรักษานิ้วล็อกโดยแพทย์
แบ่งออกเป็น 2 วิธี ดังนี้
1.รักษาด้วยวิธีการฉีดยา
การรักษานิ้วล็อค ในผู้ป่วยที่เป็นตั้งแต่ระดับที่ 1 – 3 จะแนะนำให้ฉีดยา สเตียรอยด์เฉพาะที่บริเวณโคนนิ้วมือ จะได้ผลดี และหายกว่าร้อยละ 60 ขึ้นไป ในรายงานบางแห่งได้ผลดีและหายถึงกว่าร้อยละ 70 ส่วนที่เหลือ ร้อยละ 30 – 40 อาการล็อคจะกลับมาเป็นอีกได้ ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของโรค และการใช้งานนิ้วมือ ในกลุ่มที่กลับมาเป็นใหม่นี้ จะให้มีการฉีดยาสเตียรอยด์ซ้ำได้ 2 – 3 ครั้ง แต่โอกาสที่จะดีขึ้น และหายจะมีน้อยลง แพทย์ออร์โธปิดิกส์จะแนะนำให้ทำการผ่าตัดรักษาจะดีกว่า เพราะการฉีดยาสเตียรอยด์เฉพาะที่ซ้ำ ๆ หลายครั้งจะไม่ทำให้อาการดีขึ้น และอาจทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนเอ็นขาดได้
2.รักษาด้วยวิธีการผ่าตัด
-
การผ่าตัดแบบเปิด
เป็นวิธีมาตรฐาน โดยฉีดยาชาเฉพาะที่มีแผลผ่าตัด เพื่อกรีดผ่าปลอกหุ้มเอ็น เสร็จแล้วกลับบ้านได้ แต่หลังผ่าตัดต้องหลีกเลียงการใช้งานหนักและการสัมผัสแผล ประมาณ 2 สัปดาห์
-
การผ่าตัดแบบปิด
โดยการใช้เข็มเขี่ยหรือสะกิดปลอกหุ้มเอ็นออกผ่านผิวหนังแทบไม่มีแผลให้เห็น แต่อาจมีอันตรายต่อเส้นเอ็นและเส้นประสาทที่อยู่บริเวณข้างเคียงทำให้เกิดอาการปวดแผลเวลาขยับนิ้วมือ ข้อนิ้วติดแข็ง มีอาการชาปลายนิ้ว
วิธีการรักษานิ้วล็อกด้วยตนเอง
หลายๆ คนเข้าใจผิดไปว่าเมื่อเกิดอาการนิ้วล็อก ต้องรีบหากิจกรรมต่างๆ ทำเพื่อรีบบริหารนิ้ว แต่แท้จริงแล้วไม่เป็นเช่นนั้น สิ่งที่ควรทำคือ
-
พักการใช้งานในส่วนที่เกิดอาการนิ้วล็อค
-
ใช้ความร้อน โดยนำมือไปแช่ที่น้ำอุ่น พร้อมกับบริหารมือเบาๆ ไม่ควรกำมือแน่นเพราะการกำมือแน่นนั้นเป็นการเพิ่มการใช้งานของเส้นเอ็นที่มากขึ้น
หากเป็นนิ้วล็อกแล้วไม่รักษา จะกลายเป็นอาการเรื้อรังหรือไม่?
ข้อดีของอาการนิ้วล็อก คือ เป็นอาการที่รักษาได้และรักษาหายขาด แต่หากปล่อยทิ้งไว้เป็นเวลานานๆ ข้อที่ค้างอยู่งอไม่ลงอาจจะทำให้มีข้อยึดและส่งผลให้เกิดข้อยึดติดถาวรถึงแม้จะทำการรักษาแล้วก็ตาม ดังนั้นไม่ควรปล่อยให้เกิดอาการในระยะที่ 3 หรือระยะที่ 4 ไว้เป็นเวลานานๆ
วิธีการป้องกันนิ้วล็อก
การป้องกันเพื่อไม่ให้เกิดอาการนิ้วล็อก คือ เราต้องเข้าใจว่านิ้วล็อกเป็นความเสื่อมของร่างกายอย่างหนึ่ง เหมือนกับการที่เรามีผมหงอก เหมือนข้อเสื่อม แต่นิ้วล็อกเป็นการเสื่อมของเส้นเอ็น ดังนั้นควรหลีกเลี่ยงการใช้งานหนักของเส้นเอ็นมากที่จนเกินไป โดยเฉพาะท่าที่ต้องกำมือแน่นๆ เช่น การบิดผ้าให้แห้งมากๆ หรือกิจกรรมที่ต้องใช้ข้อมือเพื่อให้กำแน่นๆ โดยพฤติกรรมเหล่านี้เป็นการใช้เส้นเอ็นมากเกินไปนั่นเอง อย่างไรก็ดี ขอยืนยันคำเดิมว่าแม้ไม่ใช่อาการที่อันตรายหรือรุนแรง แต่ก็ควรป้องกันหรือรักษาให้หายขาด เพราะหากมองในมุมที่เรานั้นต้องทำกิจกรรมในแต่ละวัน หากเกิดอาการเช่นนี้ขึ้นตลอดคงเป็นการไม่ดีแน่ๆ ดังนั้นใครที่มีอาการนิ้วล็อกบ่อยๆ ควรรีบปรึกษาแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญเพื่อสอบถามแนวทางการป้องกันและรักษาที่ถูกต้อง ไม่ให้เจ้าอาการนี้เกิดกับเราอีกต่อไปนั่นเอง
——————————–
ข้อควรระวัง: เนื้อหาในบทความ วีดีโอ ข้อความคิดเห็น มีจุดประสงค์เพื่อให้ความรู้ และสาธิตให้ดูเป็นตัวอย่างเท่านั้น ไม่ได้มีความตั้งใจจัดทำขึ้นเพื่อทดแทนการเข้ารับการตรวจ วิเคราะห์ และการวางแผนการรักษาของผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์ ผู้เข้าชมไม่ควรวินิจฉัย หรือ คาดเดาโรคด้วยตัวเองจากการอ่านบทความ ข้อคิดเห็น หรือ ดูวีดีโอ นี้ คนไข้ควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์ของตนเองเพื่อทราบสาเหตุที่แท้จริงของอาการปวด และเพื่อหลีกเลี่ยงการปวดที่อาจเกิดเพิ่มมากขึ้นในภายหลัง
บทความที่น่าสนใจ
- นั่งนาน ปวดหลัง แก้ได้ไม่ยาก
- ปวดกล้ามเนื้อหลัง (Myofascial Pain Syndrome)
- ปวดหัว มึนหัว ปวดกระบอกตา คล้ายไมเกรน