ลูก คอเอียง ทำยังไงดี ภาวะในเด็กที่ไม่ควรมองข้าม
“คอเอียง” อาการที่มักเกิดกับเด็กทารกที่ลักษณะของคอจะเอียงไปทางด้านใดด้านหนึ่ง และมักเกิดขึ้นตั้งแต่กำเนิดอีกด้วย พ่อแม่หลายๆ คนค่อนข้างกังวลใจเนื่องจากหากไม่ได้รับการรักษาอาจทำส่งผลให้เด็กๆ เติบโตขึ้นและใช้ชีวิตที่ลำบากกว่าปกติ เนื่องจากภาวะนี้กระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวันโดยตรงนั่นเอง ดังนั้น เพื่อป้องกันและหาวิธีการรักษาภาวะนี้ในทารก ผู้ปกครองจึงต้องศึกษารายละเอียดของโรคนี้ให้เข้าใจอย่างแท้จริงเสียก่อน
“คอเอียง” ในทารกเกิดจากอะไร มีความเจ็บปวดหรือไม่?
การผิดปกติของลักษณะคอในทารกเช่นนี้ สามารถพบได้บ่อยในเด็กถึงร้อยละ 90 เลยทีเดียว โดยทั่วไปแล้วเป็นชนิดไม่ร้ายแรง แต่สร้างความกังวลให้คุณพ่อคุณแม่ได้ไม่น้อย อย่างไรก็ดี การที่ทารกมีอาการเช่นนี้ควรได้รับการรักษา เพราะมิเช่นนั้นอาจเกิดการเอียงไปจนโตด้วย และอาจส่งผลให้ใช้ชีวิตอย่างยากลำบากมากขึ้น จึงเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมผู้ปกครองจึงต้องรีบรักษาโรคนี้ในทารกอย่างทันท่วงที
สาเหตุของโรค มาจาก…
Torticollis เป็นคำภาษาละติน มีความหมายว่า “คอบิด” อาการนี้เกิดจากกล้ามเนื้อคอด้านข้างฝั่งหนึ่งบวม ผลก็คือกล้ามเนื้อส่วนนั้นจะสั้นลงและดึงคอให้เอียงไปทางหนึ่ง การบวมของกล้ามเนื้อมักเกิดจากเด็กทารกถูกบีบอัด หรืออยู่ผิดท่าตอนอยู่ในครรภ์ โดยกล้ามเนื้อที่พบว่าเป็นสาเหตุได้บ่อยที่สุด คือ กล้ามเนื้อด้านข้างคอ (Sternocleidomastoid) ที่เกาะยึดระหว่างกระดูกด้านหลังหูกับส่วนหน้าของกระดูกไหปลาร้าหดสั้นลงทำให้ศีรษะเอียงไปด้านที่กล้ามเนื้อหดสั้นแต่ใบหน้าจะบิดหันไปด้านตรงข้าม
จะรู้ได้อย่างไรว่าลูกมีภาวะ “คอเอียง”
ลักษณะอาการ:
หากจะกล่าวตามจริงแล้ว ถ้าทารกมีภาวะเช่นนี้มาตั้งแต่กำเนิด ก็มักจะทำให้หัวของเด็กมีลักษณะเอียงไปด้านหนึ่ง และทำให้การเคลื่อนไหวถูกจำกัด สังเกตได้จากเด็กจะมีปัญหาในการขยับหัว เด็กอาจจะมีก้อนเล็ก ๆ ที่ด้านข้างของคอซึ่งจะสลายไปเองเมื่อเวลาผ่านไป ซึ่งโดยทั่วไปแล้วเด็กทารกที่มีอาการนี้จะสังเกตเห็นได้เมื่ออายุ 6-8 สัปดาห์ ซึ่งจะวินิจฉัยว่าเป็นโรคได้โดยการเอกซเรย์นั่นเอง
ช่วงเวลาที่สามารถสังเกตได้:
ภาวะคอผิดปกติเช่นนี้ สามารถพบได้ตั้งแต่ในเด็ก 1 เดือนขึ้นไป แต่ถ้าหากจะให้ชัดเจนที่สุด ผู้ปกครองสามารถสังเกตได้ตั้งแต่ลูกมีอายุ 2 เดือนขึ้นไป ก็จะสามารถเห็นได้อย่างชัดเจนขึ้น เนื่องจากทารกจะเริ่มตั้งคอตนเองได้บ้างแล้วนั่นเอง
ภาวะนี้ อันตรายหรือไม่ มีความเจ็บปวดหรือเปล่า?
จากที่กล่าวไปข้างต้นว่า โรคนี้ไม่ได้มีความร้ายแรงใดๆ ต่อทารก และเช่นเดียวกันว่าไม่ได้ส่งผลให้ทารกเกิดความเจ็บปวดใดๆ และถึงแม้ท่าทางลักษณะคอที่เอียงเช่นนี้จะทำให้ใช้ชีวิตลำบาก แต่อาการโรคนี้ไม่เจ็บเลย
ทารกคนใดบ้างที่มีความเสี่ยงเกิดภาวะโรคนี้
เด็กทารกที่ตัวใหญ่ หรือเป็นคู่แฝดที่เบียดกันอยู่ในมดลูกมีความเสี่ยงที่จะเป็นโรคคอเอียงแต่กำเนิดมากกว่า ความเสี่ยงอื่นๆ เกิดจากการคลอดที่มีการใช้อุปกรณ์ปากคีบหรือเครื่องดูดเป็นตัวช่วย เป็นต้น
แนวทางการรักษา
1. การเข้ารับการผ่าตัด
การผ่าตัดเพื่อแก้ปัญหากล้ามเนื้อหดสั้น ถ้ายืดกล้ามเนื้อหดสั้นไม่ ได้ผลหลังอายุ 1 ปีควรรักษาด้วยการผ่าตัด เพื่อให้มีสมดุลของศีรษะและใบหน้าดีขึ้น การผ่าตัดมักได้ผลดีพอสมควร อายุเหมาะสมที่สุดคือ 1-4 ปี ในผู้ป่วยที่มีอายุมากขึ้น แต่ก็อาจจะไม่ได้รับผลการผ่าตัดที่ดีเท่าเด็กๆ ที่อยู่ในช่วงอายุเหมาะสม อย่างไรก็ดี การผ่าตัดนั้นสามารถทำได้หลายวิธี และค่อนข้างเป็นที่นิยม เพราะนอกจากจะสามารถตั้งคอได้ตรงแล้ว ก็ยังสามารถป้องกันการเกิดซ้ำได้ด้วย
2. การยืดกล้ามเนื้อและกายภาพบำบัด
โรคคอผิดปกติเช่นนนี้ มักหายไปเองด้วยการยืดกล้ามเนื้อเบาๆ และให้ลูกมีช่วงเวลานอนคว่ำเล่น (tummy time) บ่อยๆ นอกจากนี้ การให้เด็กนอนหงายและหันหัวไปทางตรงกันข้ามกับฝั่งที่คอเอียงก็สามารถช่วยได้ ในบางกรณีที่อาการหนักมาก ผู้ดูแลควรเรียนรู้ถึงวิธีการยืดที่ถูกต้อง เช่นจากนักกายภาพบำบัดเพื่อไม่ให้เกิดอันตรายต่อเด็กโดยฉพาะการยืดด้วยวิธีดัด (passive stretch) ควรหยุดทำถ้าเด็กดิ้นหรือฝืนเพราะอาจทำให้แย่ลงได้
ตัวอย่าง “ท่ายืดกล้ามเนื้อ” และ “ท่ากายภาพบำบัด” เพื่อรักษาภาวะคอเอียงในเด็ก
กายภาพบำบัด
- ในกรณีที่เด็กเอียงคอไปทางด้านขวา ซึ่งโดยทั่วไปเมื่อคอเอียงขวา ใบหน้าของเด็กจะหันไปทางซ้ายและหากคอมีการเอียงไปทางด้านซ้าย ใบหน้าก็จะหันขวา ดังนั้น ผู้ปกครองต้องเริ่มจากการที่อุ้มลูกโดยให้ลักษณะลำตัวของพวกเขาขนานกับพื้น หลังจากนั้นให้ผู้ปกครองนำมือมาประคองใบหน้าโดยให้มือแนบกับหูและจับหันมาอีกทางหนึ่ง เช่น หากคอของทารกเอียงมาทางขวาก็ให้นำมือประคองใบหน้าลูกมาทางซ้ายเพื่อฝืนคอมาอีกทางหนึ่งนั่นเอง
- ในท่านี้ให้ทำคล้ายกับท่าแรกคือ ผู้ปกครองอุ้มลูกโดยให้ลักษณะลำตัวของพวกเขาขนานกับพื้น แต่ครั้งนี้ไม่ต้องนำมือมาเพื่อดันใบหน้าของลูกให้มาอีกทางหนึ่ง โดยจะเน้นให้ลูกพยายามผงกคอและฝืนตั้งคอด้วยตนเอง
ยืดกล้ามเนื้อ
- ท่าเงยหน้าเล็กน้อย เช่น นอนหงายบนตัก จัดให้หูข้างตรงข้ามกับกล้ามเนื้อหดสั้นมาสัมผัสที่ ไหล่ข้างเดียวกันและอีกวิธีโดยหันหน้าจัดให้คางสัมผัสกับไหล่ ข้างที่ มีกล้ามเนื้อหดสั้น แต่ละท่ายืดค้างนานประมาณนับเลข 1-10 ต่อครั้ง ติดต่อกัน 15-20 ครั้งเป็น 1 รอบ ทำประมาณ 4-6 รอบในแต่ละวัน
- การยืดแบบที่ให้เด็กหันศีรษะเอง (active stretch) วิธีนี้มีความปลอดภัยมากกว่า โดยต้องหาวิธีการที่จะล่อให้เด็กหันหน้ามาด้านที่มีคอเอียงที่มีกล้ามเนื้อหดสั้น วิธีการที่นิยมใช้ได้ผลดี เช่น การให้นม หรือล่อให้มองตามในสิ่งที่สนใจ เป็นต้น
อย่างไรก็ดี หากผู้ปกครองสังเกตเห็นความผิดปกติของลูก ก็ควรรีบพาลูกไปพบแพทย์ เพื่อหาสาเหตุและการรักษา อย่านิ่งนอนใจ เพราะสุขภาพของลูกคือสิ่งสำคัญที่สุด เพราะจากที่ได้กล่าวไปว่าภาวะเช่นนี้บ้างก็สามารถหายได้เอง บ้างก็ต้องรักษาและทำกายภาพบำบัด ดังนั้น คุณพ่อคุณแม่ควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ หรือ นักกายภาพบำบัด เพื่อที่จะทำการฟื้นฟูได้อย่างถูกต้องเพื่อคุณภาพของชีวิตของลูกน้อยที่ดีขึ้นนั่นเอง
——————————–
ข้อควรระวัง: เนื้อหาในบทความ วีดีโอ ข้อความคิดเห็น มีจุดประสงค์เพื่อให้ความรู้ และสาธิตให้ดูเป็นตัวอย่างเท่านั้น ไม่ได้มีความตั้งใจจัดทำขึ้นเพื่อทดแทนการเข้ารับการตรวจ วิเคราะห์ และการวางแผนการรักษาของผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์ ผู้เข้าชมไม่ควรวินิจฉัย หรือ คาดเดาโรคด้วยตัวเองจากการอ่านบทความ ข้อคิดเห็น หรือ ดูวีดีโอ นี้ คนไข้ควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์ของตนเองเพื่อทราบสาเหตุที่แท้จริงของอาการปวด และเพื่อหลีกเลี่ยงการปวดที่อาจเกิดเพิ่มมากขึ้นในภายหลัง
บทความที่น่าสนใจ
- “น้ำนมไม่ไหล” เสี่ยงภาวะท่อน้ำนมอุดตันหรือไม่?
- 5 ท่ากายภาพสำหรับฟื้นฟูหญิงหลังคลอด
- “สมองพิการ” กับการทำกายภาพ ยิ่งทำยิ่งส่งผลดี