“ข้อเท้าอักเสบ” อย่าละเลย ปล่อยไว้อาจเจ็บเรื้อรัง
“ข้อเท้าอักเสบ” แม้จะดูเป็นอาการที่ดูไม่ได้มีอันตรายมาก อาจจะเจ็บปวดที่ข้อเท้าเล็กน้อย เดี๋ยวก็หาย แต่ทุกคนทราบหรือไม่ว่าโรคเกี่ยวกับข้อเท้าชนิดนี้มีอันตรายกว่าที่คิด เพราะหากปล่อยเรื้อรังไว้อาจส่งผลต่อการใช้ชีวิตในประจำวัน เนื่องจากการเดิน การเคลื่อนไหวต่างๆ “เท้าและข้อเท้า” คือองค์ประกอบสำคัญในการทำกิจกรรมดังกล่าวโดยตรง หากปล่อยไว้ไม่รักษาอาจจะต้องทำการผ่าตัดหรือในกรณีที่หนักสุดคืออาการอักเสบนี้อาจจะลุกลามความเจ็บปวดไปยังส่วนอื่นๆ ตามร่างกายด้วยก็เป็นได้ ฉะนั้นการรักษาหรือป้องกันไว้ก่อนจึงเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด
“ข้อเท้าอักเสบ” เกิดจากอะไร และมีอาการอย่างไร?
หลายๆ คนมองว่าอาการนี้เป็นอาการปกติ โยเฉพาะผู้ที่เล่นกีฬาที่อาจมองว่าก็ปวดข้อเท้าหรือข้อเท้าอักเสบเป็นเรื่องปกติของการเล่นกีฬา แต่อาการนี้แม้ดูเป็นการบาดเจ็บเล็กๆ แต่แท้จริงแล้วหากปล่อยนานๆ ไปอาจส่งผลอื่นๆ หรือถเาหากใครที่เกิดอาการนี้ขึ้นมาโดยไม่ได้มีอาการบาดเจ็บมาก็ก็อาจเป็นสัญญาณเตือนจาก “ภาวะหินปูนหน้าข้อเท้า” ที่เผชิญอยู่โดยไม่รู้ตัวก็เป็นได้
สาเหตุของการปวดข้อเท้า
อาการปวดข้อเท้าอาจเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ ทั้งการบาดเจ็บที่กระดูกข้อเท้า การบาดเจ็บที่เส้นเอ็นข้อเท้า หรือจากภาวะข้อต่ออักเสบต่าง ๆ โดยตัวอย่างของสาเหตุที่ทำให้ปวดข้อเท้า มีดังนี้
- เอ็นอักเสบ บวม ฉีก หรือขาดจากสาเหตุต่าง ๆ อย่างข้อเท้าพลิก หรือข้อเท้าบิดผิดรูป
- เอ็นร้อยหวายอักเสบ
- ข้อเท้า ส้นเท้า และเส้นประสาทบริเวณข้อเท้าได้รับบาดเจ็บ
- ติดเชื้อในกระดูกข้อเท้า
- กระดูกข้อเท้าหรือกระดูกเท้าหัก
- โรคเก๊าท์หรือโรคเก๊าท์เทียม
- โรคข้อเสื่อม และโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์
อาการของข้อเท้าอักเสบ
1.ปวดข้อเท้ามาก
โดยผู้ป่วยจะมีอาการปวดข้อเท้าอย่างหนัก โดยจะมีอาการยาวนานถึง 2-3 สัปดาห์
2.ข้อเท้าบวม
โดยอาการนี้จะไม่มีท่าทีที่ดีขึ้น และในบางรายอาจมีอาการบวมแดงหรือบวมช้ำร่วมด้วย
3. ติดเชื้อในกระดูกข้อเท้า
เป็นภาวะติดเชื้อที่ลุกลามเข้าสู่กระดูก โดยทั่วไปมักเกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย แต่ก็อาจเกิดจากเชื้อชนิดอื่นอย่างเชื้อราได้เช่นกัน
4. เอ็นร้อยหวายอักเสบ
การอักเสบบริเวณเอ็นร้อยหวายที่เป็นเอ็นเชื่อมต่อจากกล้ามเนื้อน่องไปจนถึงกระดูกส้นเท้า
แนวทางการรักษา
หากอาการปวดข้อเท้าที่ปรากฏไม่รุนแรงมากนัก ผู้ป่วยอาจรักษาอาการปวดข้อเท้าได้ด้วยตนเองตามวิธีต่าง ๆ ดังต่อไปนี้
- พักข้อเท้า พักการใช้งานข้อเท้าสัก 2-3 วัน และหลีกเลี่ยงการลงน้ำหนักบนข้อเท้า ซึ่งอาจใช้ไม้ค้ำหรือไม้เท้าช่วยเดินเพื่อลดการทิ้งน้ำหนักลงบนข้อเท้า
- ประคบเย็น หลังได้รับบาดเจ็บในระยะแรก อาจประคบเย็นด้วยการนำถุงน้ำแข็งวางบนข้อเท้าข้างที่ปวดครั้งละ 20 นาที และทิ้งช่วงไว้ประมาณชั่วโมงครึ่งก่อนประคบเย็นอีกครั้ง ซึ่งอาจทำ 3-5 ครั้ง/วัน เพื่อลดอาการบาดเจ็บ ปวด และบวม
- ประคองข้อเท้า โดยใช้ผ้าพันแบบยืดพันบริเวณข้อเท้าเพื่อประคองข้อเท้าไว้ไม่ให้เคลื่อนมากไป แต่ห้ามพันแน่นจนเกินไป เพราะอาจทำให้เท้าชาและนิ้วเท้าเปลี่ยนเป็นสีคล้ำได้
- ยกข้อเท้าให้อยู่สูง เมื่อต้องนั่งหรือนอน ให้ยกเท้าขึ้นสูงเหนือระดับหัวใจ โดยอาจใช้หมอนสัก 2 ใบมาหนุนรองไว้ใต้ข้อเท้า
- ใช้ยารักษา อาจรับประทานยาลดปวดที่หาซื้อได้เอง เช่น ยาพาราเซตามอล หรือยาไอบูโพรเฟน เป็นต้น
- ทำกายบริหาร หากอาการเริ่มดีขึ้นแล้ว อาจใช้มือบริหารข้อเท้าไปในทิศทางต่าง ๆ เพื่อให้ข้อเท้าได้ขยับมากขึ้น และลดความเสี่ยงในการกลับมาปวดข้อเท้าอีกครั้ง ซึ่งควรปรึกษาแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญถึงความปลอดภัยก่อนเสมอ และหากปรากฏอาการเจ็บปวดขึ้นในระหว่างทำกายบริหาร ควรหยุดทำทันที
การป้องกันการเกิดข้อเท้าอักเสบ
เนื่องจากการอักเสบของข้อเท้าอาจมีสาเหตุมาจากโรคข้อบางชนิดด้วย ซึ่งเป็นเรื่องที่ป้องกันได้ยาก แต่ถ้าหากเป็นอาการปวดข้อเท้าจากสาเหตุทั่วไปสามารถป้องกันได้ โดยการดูแลตนเองในด้านต่าง ๆ ดังต่อไปนี้
- รักษาน้ำหนักให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม เพราะการมีน้ำหนักตัวมากอาจส่งผลให้เกิดแรงกดที่ข้อเท้ามากเกินไป
- เตรียมพร้อมร่างกายก่อนออกกำลังกาย โดยยืดเหยียดกล้ามเนื้อและเส้นเอ็นข้อเท้า หรือสวมอุปกรณ์ช่วยพยุงข้อเท้าและแปะเทปกาวพยุงข้อเท้าไว้
- หลีกเลี่ยงการเล่นกีฬาหรือกิจกรรมที่อาจเป็นอันตรายต่อข้อเท้า โดยเฉพาะกิจกรรมที่ต้องใช้ข้อเท้าอย่างหนักจนเกินไป หรือมีแนวโน้มจะทำให้ข้อเท้าเกิดการบาดเจ็บ
- หลีกเลี่ยงการใส่ส้นสูง และเลือกรองเท้าที่มีขนาดพอดีกับเท้า
- หากข้อเท้าพลิกขณะกำลังทำกิจกรรมต่าง ๆ ให้ประคองข้อเท้าไว้โดยใช้อุปกรณ์ เช่น ผ้าพันแผลแบบยืด เฝือกลม หรืออุปกรณ์พยุงข้อเท้าชนิดผูกเชือก เป็นต้น
อย่างไรก็ตาม หากอาการปวดข้อเท้ามีสาเหตุมาจากภาวะข้อต่ออักเสบ ผู้ป่วยจะไม่สามารถรักษาอาการปวดข้อเท้าได้ด้วยตนเอง ซึ่งแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญจะแนะนำวิธีรักษาที่เหมาะสม เพื่อไม่ให้อาการปวดข้อเท้าแย่ลงกว่าเดิม ซึ่งอาจใช้เวลารักษาค่อนข้างนาน อาจเป็นเวลานานร่วมสัปดาห์หรือร่วมเดือน และแม้อาการต่าง ๆ เริ่มดีขึ้นจนใกล้หายดีแล้ว แต่การบาดเจ็บก็อาจทำให้ข้อเท้าไม่กลับไปแข็งแรงเหมือนปกติ จึงยังไม่ควรใช้งานข้อเท้าหรือทิ้งน้ำหนักลงข้อเท้ามากจนเกินไปนั่นเอง
——————————–
ข้อควรระวัง: เนื้อหาในบทความ วีดีโอ ข้อความคิดเห็น มีจุดประสงค์เพื่อให้ความรู้ และสาธิตให้ดูเป็นตัวอย่างเท่านั้น ไม่ได้มีความตั้งใจจัดทำขึ้นเพื่อทดแทนการเข้ารับการตรวจ วิเคราะห์ และการวางแผนการรักษาของผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์ ผู้เข้าชมไม่ควรวินิจฉัย หรือ คาดเดาโรคด้วยตัวเองจากการอ่านบทความ ข้อคิดเห็น หรือ ดูวีดีโอ นี้ คนไข้ควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์ของตนเองเพื่อทราบสาเหตุที่แท้จริงของอาการปวด และเพื่อหลีกเลี่ยงการปวดที่อาจเกิดเพิ่มมากขึ้นในภายหลัง
บทความที่น่าสนใจ
- นั่งนาน ปวดหลัง แก้ได้ไม่ยาก
- ปวดกล้ามเนื้อหลัง (Myofascial Pain Syndrome)
- ปวดหัว มึนหัว ปวดกระบอกตา คล้ายไมเกรน