กิจกรรมบำบัด และ กายภาพบำบัด ต่างกันหรือไม่?
“กิจกรรมบำบัด” หลายๆ คนอาจเคยได้ยินคำนี้กันมาบ้างแล้ว แต่อาจเป็นคำที่ใหม่สำหรับใครหลายๆ คน หากพิจารณาจากชื่อของมันแล้วก็ดูคลับคล้ายคลับคลากับคำว่า “กายภาพบำบัด” ที่ดูจะเป็นที่รู้จักมากกว่าแต่ทุกคนทราบหรือไม่ว่าแท้จริงแล้วทั้ง 2 คำนี้คือวิธีการรักษาและฟื้นฟูสมรรถภาพทางร่างกายทั้งคู่ เพียงแต่มีจุดประสงค์ของการรักษาและกลุ่มผู้ป่วยที่เป็นกลุ่มเป้าหมายต่างกันเท่านั้นเอง
กิจกรรมบำบัด vs กายภาพบำบัด ต่างกันอย่างไร?
กายภาพบำบัด คือ
เป็นวิธีทำกายบริหารต่างๆ เพื่อการฟื้นฟูและช่วยเสริมความสามารถในการใช้ร่างกายและการเคลื่อนไหวให้ดีมากขึ้น โดยมีเทคนิคในการทำกายภาพหลายประเภท เช่น การดึง การนวด การประคบ และการทำกายบริหารง่ายๆ เป็นต้น ซึ่งผู้ที่จะเข้ารับการทำกายภาพจะถูกใช้วิธีที่แตกต่างกันออกไป
กิจกรรมบำบัด คือ
การประยุกต์กิจกรรมมาใช้ในการตรวจประเมิน ส่งเสริม บำบัดรักษา และฟื้นฟูสมรรถภาพบุคคล ให้สามารถกลับไปดำรงชีวิตในสังคมได้อย่างใกล้เคียงปกติ โดยจะเน้นไปที่การพัฒนาความสามารถของบุคคลที่มีความบกพร่องทางด้านร่างกาย จิตใจ หรือการเรียนรู้และการพัฒนาเกี่ยวกับเด็ก เพื่อให้บุคคลดำเนินชีวิตได้ตามศักยภาพ โดยการนำกิจกรรม วิธีการ และอุปกรณ์ที่เหมาะสมมาเป็นวิธีการในการบำบัด
ใครบ้างที่เหมาะกับการรักษาด้วย “กิจกรรมบำบัด”
โดยส่วนใหญ่แล้วผู้ป่วยที่เหมาะกับการรักษาจะเป็นบุคคลในทุกช่วงวัย ที่มีความยากลำบากในการทำกิจกรรมการดำเนินชีวิต
-
เด็ก
กิจกรรมบำบัด ส่งเสริมพัฒนาการรอบด้าน ทักษะการเรียน การรับรู้ การใช้ความคิดเชื่อมโยง การเล่น การเข้าสังคม เช่น พัฒนาการล่าช้า สมาธิสั้น ออทิซึม เป็นต้น
-
ผู้ใหญ่
กิจกรรมบำบัด ส่งเสริมฝึกทักษะการใช้มือในการทำกิจวัตรประจำวันหรือกิจกรรมต่างๆ การเคลื่อนย้ายตัว ฝึกการกลืน การสื่อสารเบื้องต้น การรับความรู้สึก การรับรู้และความเข้าใจ เช่น ผู้ป่วยหลอดเลือดสมอง ผู้ป่วยที่มีอาการบาดเจ็บไขสันหลัง เป็นต้น
- ผู้สูงอายุ
กิจกรรมบำบัด ส่วนใหญ่จะเน้นคงความสามารถของสมองและการทำงานของร่างกายในการทำกิจวัตรประจำวัน การทำงานอดิเรก กิจกรรมยามว่าง การพูดคุยทำกิจกรรมกลุ่มร่วมกับผู้อื่น รวมทั้งการฟื้นฟูสภาพจิตใจ ส่งเสริมความรู้สึกถึงความภาคถูมิใจ การมีคุณค่าในตัวเองและใช้ชีวิตต่อไปได้อย่างมีความสุข
-
ผู้ที่มีความเจ็บป่วยทางจิต
กิจกรรมบำบัด สามารถบำบัดผู้ป่วยประเภทนี้ได้ โดยต้องมีเจ้าหน้าที่หรือนักกิจกรรมบำบัดคอยช่วยวางแผนจัดตารางการใช้ชีวิต ฝึกสุขอนามัย ทักษะการเข้าสังคม การจัดการอารมณ์ การแสดงออกอย่างเหมาะสม รวมถึงทักษะการประกอบอาชีพต่อไปในอนาคตด้วยนั่นเอง
ขั้นตอนของการรักษา
1.การประเมิน (Assessment)
ขั้นแรกต้องประเมินความสามารถและซักประวัติสอบถามข้อมูลเพื่อระบุปัญหาของผู้ป่วยก่อน ซึ่งขั้นตอนนี้จะใช้เวลานานเล็กน้อยเพื่อให้ทราบรายละเอียดอาการ ข้อมูลส่วนบุคคล และข้อควรระวังทั้งหมดอย่างละเอียด
2.วางแผนการรักษา (Treatment plan)
ขั้นตอนนี้ เป็นการนำปัญหาที่ได้มาวิเคราะห์ร่วมกับอาการหรือกลุ่มโรคของผู้ป่วยเพื่อให้ทราบว่าเราจะฝึกกันได้ถึงระดับไหน หรือความต้องการของครอบครัวและผู้ป่วยคาดหวังไว้ว่าให้ผลการรักษาอยู่ในระดับใด เพื่อให้ทุกคนเข้าใจและมีแนวทางการรักษาเป็นไปในทิศทางเดียวกัน โดยเป้าประสงค์ในการรักษาจะมีการกำหนดระดับความสามารถและระยะเวลาในการรักษาไว้
3.การบำบัดรักษา (Treatment)
เป็นขั้นตอนที่ผู้เข้าบำบัดจะเข้าร่วมทำกิจกรรมกับที่นักกิจกรรมบำบัด โดยไม่ว่าจะเป็นอุปกรณ์ช่วย เทคนิคการรักษา การปรับสถานที่สิ่งแวดล้อม การเลือกใช้อุปกรณ์ การปรับสภาพจิตใจ การเล่นการบริหาร ฯลฯ มาวิเคราะห์เป็นกิจกรรมการรักษาที่เหมาะสม นำมาฝึกให้กับคนไข้ เพื่อส่งเสริมให้คนไข้ดูแลตนเองได้ ทำกิจวัตรประจำวันด้วยตัวเองให้ได้มากที่สุด และมีคุณภาพชีวิตดีขึ้นตามความสามารถสูงสุดของผู้เข้ารับการบำบัด
4.การประเมินซ้ำ (Reassessment)
โดยเมื่อครบระยะเวลาที่กำหนดไว้ในแผนการรักษาแล้ว ผู้เข้ารับการบำบัดจะถูกประเมินความสามารถซ้ำอีกครั้ง เพื่อให้ทราบว่าผู้ป่วยมีความก้าวหน้าในการรักษาหรือไม่ ถ้ายังไม่เกณฑ์ตามเป้าหมายก็จะมีการปรับแผนการรักษาใหม่ แต่ถ้าหากมีผลที่ดีขึ้น นักกิจกรรมบำบัดอาจเพิ่มความยากของกิจกรรมหรือเปลี่ยนเป็นกิจกรรมอื่นที่จำเป็นหรือท้าทายความสามารถมากขึ้น ปรับเปลี่ยนเพิ่มลดความถี่ในการฝึก และหากมีผลการรักษาที่ดีก็สามารถยุติการรักษาได้เลย
ตัวอย่างกิจกรรมบำบัดในการรักษาความบกพร่องของระบบต่างๆ
1. ระบบกายสัมผัส
โดยผู้ป่วยที่มีความบกพร่องในระบบนี้จะไม่แสดงออกถึงความเจ็บปวด ไม่มีความระมัดระวังต่อการที่จะได้รับบาดเจ็บ บางคนมีลักษณะ ต่อต้าน หรือโวยวายต่อสัมผัสแผ่วเบาไม่ชอบให้ใครมากอดหรือสัมผัสไม่ชอบเสื้อผ้าที่มีพื้นผิวหลากหลาย เป็นต้น
แนวทางในการจัดกิจกรรมที่ช่วยส่งเสริมระบบกายสัมผัส
• การถู การแตะตามส่วนต่างๆ ของร่างกาย โดยใช้วัสดุที่มีพื้นผิวแตกต่างกันไป เช่น โลชั่น แป้ง ฟองน้ำถูตัว ในบริเวณแขน ลำตัว โดยให้แรงกดที่มีน้ำหนักเหมาะสม
• กิจกรรมระบายสีด้วยนิ้วมือหรือฝ่ามือ (finger painting)
• การวาดรูปด้วยนิ้วมือลงบนแขน ขา ลำตัวของเด็ก
• การเล่นทราย การเล่นดินน้ำมัน
• การห่อตัวด้วยผ้าห่ม ฯลฯ
2. ระบบรับความรู้สึกจากกล้ามเนื้อ เอ็นและข้อต่อ
ผู้ป่วยที่มีความบกพร่องจะมีอาการที่เกี่ยวข้องกับการเคลื่นไหวต่างๆ เช่น เคลื่อนไหวร่างกายช้าและงุ่มง่าม หกล้มง่าย ไม่มีการเคลื่อนไหวร่างกาย เช่น นั่งอยู่กับที่นานๆ ชอบพิงเก้าอี้ บางคนมีการเคลื่อนไหวร่างกายตลอดเวลาโดยไม่มีเป้าหมายหรือมีภาวะไม่อยู่นิ่ง เป็นต้น
แนวทางในการจัดกิจกรรมที่ช่วยส่งเสริมระบบรับความรู้สึกจาก กล้ามเนื้อ เอ็นและข้อต่อ
• กิจกรรมในลักษณะที่ต้องมีการลงน้ำหนักหรือมีแรงดึงที่ข้อต่อ
• กิจกรรมหิ้วของที่มีน้ำหนัก
• กิจกรรมปีนป่าย โหนเชือกหรือบาร์
• กิจกรรมโยนบอล ขว้างบอล
• กิจกรรมดึงลากสิ่งของที่มีน้ำหนัก
• การผลักการดันสิ่งของกับผนังหรือเพื่อน ฯลฯ
3. ระบบการทรงท่า
ลักษณะของเด็กที่มีความบกพร่อง คือ ชอบกิจกรรมหรือการเคลื่อนไหวแบบหมุน หรือแกว่งมากกว่าปกติโดยไม่รู้สึกเวียนหัว ในบางคนมีลักษณะตรงกันข้ามเมื่อทำกิจกรรม หรือ หากทำกิจกรรมการเคลื่อนไหวแบบหมุนแกว่ง โยกไปมาเพียงเล็กน้อย จะมีอาการคลื่นไส้อาเจียน การทรงท่าไม่ดี หกล้มง่าย เป็นต้น
แนวทางในการจัดกิจกรรมที่ช่วยส่งเสริมระบบการทรงท่า
• กิจกรรมที่ต้องมีการเคลื่อนไหวของศีรษะไปในทิศทางต่างๆ
• กิจกรรมการเล่นสะพานลื่น
• กิจกรรมเดินทรงตัวบนไม้กระดาน
• กิจกรรมโยกบอล
• การวิ่ง การตีลังกา
• กิจกรรมนั่งชิงช้า
ประโยชน์ที่ผู้เข้ารับการทำกิจกรรมบำบัดจะได้รับ
1. ได้ฝึกฝนร่างกาย
ออกแรงกล้ามเนื้อมัดใหญ่ มัดเล็กและสมองผ่านกิจกรรมที่เหมาะสมน่าสนใจ ที่ออกแบบและดำเนินการโดยทีมงานผู้เชี่ยวชาญ
2. ใช้เวลาว่างอย่างเหมาะสม
การมีกิจกรรม สนุกๆ ไม่น่าเบื่อ ไม่จำเจ ฝึกจินตนาการ ทำให้รู้สึกถึงคุณค่าในตัวเองและมีคุณค่าต่อผู้อื่น
3. เพื่อให้แพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญทราบความก้าวหน้าของการฟื้นฟู
โดยการที่ผู้เข้ารับการบำบัดเข้าร่วมทำกิจกรรมบ่อยๆ นั้นจะสามารถช่วยให้แพทย์ ผู้เชี่ยวชาญ หรือนักกิจกรรมบำบัดสามารถประเมินอาการและกิจกรรมที่เหมาะสมให้ เพื่อให้ผู้ป่วยได้รับประโยชน์จากการรักษาอย่างสูงสุดนั่นเอง
4. ส่งผลที่ดีในระยะยาว
การทำกิจกรรมบำบัดเช่นนี้ จะส่งผลให้ผลของการบำบัดรักษาและฟื้นฟูผู้ป่วยในระยะยาว สามารถทำกิจกรรมต่างๆ ได้เอง สามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติ ดูแลตัวเองได้ รวมถึงมีสุขภาพทั้งร่างกายและจิตที่ดี ท้ายที่สุด การฟื้นฟูและรักษาผู้ป่วยด้วยกิจกรรมบำบัดนั้น สามารถใช้ได้ในผู้ป่วยหลากหลายอาการ ไม่ว่าจะเป็น ผู้สูงอายุ เด็กที่มีภาวะสมองพิการ ผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับเส้นเลือดในสมอง เป็นต้น อย่างไรก็ดี การรักษาเช่นนี้ต้องได้รับคำแนะนำจากแพทย์ ผู้เชี่ยวชาญ และนักกิจกรรมบำบัดอย่างใกล้ชิด เพื่อที่จะได้รับการรักษาที่ถูกต้องและมีประสิทธิภาพสูงสุดนั่นเอง
——————————–
ข้อควรระวัง: เนื้อหาในบทความ วีดีโอ ข้อความคิดเห็น มีจุดประสงค์เพื่อให้ความรู้ และสาธิตให้ดูเป็นตัวอย่างเท่านั้น ไม่ได้มีความตั้งใจจัดทำขึ้นเพื่อทดแทนการเข้ารับการตรวจ วิเคราะห์ และการวางแผนการรักษาของผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์ ผู้เข้าชมไม่ควรวินิจฉัย หรือ คาดเดาโรคด้วยตัวเองจากการอ่านบทความ ข้อคิดเห็น หรือ ดูวีดีโอ นี้ คนไข้ควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์ของตนเองเพื่อทราบสาเหตุที่แท้จริงของอาการปวด และเพื่อหลีกเลี่ยงการปวดที่อาจเกิดเพิ่มมากขึ้นในภายหลัง
บทความที่น่าสนใจ
- นั่งนาน ปวดหลัง แก้ได้ไม่ยาก
- ปวดกล้ามเนื้อหลัง (Myofascial Pain Syndrome)
- ปวดหัว มึนหัว ปวดกระบอกตา คล้ายไมเกรน