“กล้ามเนื้อฉีก” มีกี่ประเภท แต่ละแบบอันตรายอย่างไรบ้าง?
“กล้ามเนื้อฉีก” สัญญาณที่บ่งบอกว่าเจ้าของร่างกายใช้งานหนักจนเกินไป หรือมีการถูกยืดจนเกินไปอย่างซ้ำๆ อยู่เป็นประจำ อย่างไรก็ดีอาการบาดเจ็บเช่นนี้ ไม่ได้เกิดเพียงแค่กับนักกีฬาเท่านั้น แต่ยังสามารถเกิดขึ้นได้กับทุกๆ เพศและทุกวัย ดังนั้น ทุกคนจึงจำเป็นต้องศึกษาเกี่ยวกับการบาดเจ็บชนิดนี้ไว้ เพื่อที่จะสามารถป้องกันได้อย่างถูกต้อง
“กล้ามเนื้อฉีก” เกิดจากอะไร ความรุนแรงมีกี่ระดับ
การบาดเจ็บทางกล้ามเนื้อ ประเภท Muscle Strain คือ ภาวะที่เส้นใยกล้ามเนื้อบาดเจ็บ หรือฉีกขาด จากการถูกใช้งานอย่างหนัก หรือถูกยืดมากเกินไป ภาวะนี้เกิดขึ้นได้กับกล้ามเนื้อทุกส่วน และเกิดได้กับคนทุกวัย ซึ่งปัญหาที่เกิดจากกล้ามเนื้อฉีก คืออาการเจ็บปวดอย่างมาก จนไม่สามารถเคลื่อนไหวร่างกายได้ตามต้องการ
สาเหตุเกิดจาก…
เกิดอุบัติเหตุที่กล้ามเนื้อ เช่น ถูกชน หรือถูกกระแทกอย่างแรงใช้งาน กล้ามเนื้อมากเกินไป เช่น ยกของหนักเกินกำลัง ใช้งานกล้ามเนื้อบริเวณนั้นซ้ำๆ เช่น ผู้ทำงานแบกหาม ที่ใช้กล้ามเนื้อส่วนเดิมอย่างหนักเป็นเวลานาน การออกกำลังกาย หรือเล่นกีฬาหักโหมเกินไป และไม่มีการยืดคลายกล้ามเนื้ออย่างถูกวิธี
ปัจจัยเสี่ยงอื่นๆ สำหรับนักกีฬาหรือผู้ที่ชอบเล่นกีฬา
ความเสี่ยงของกล้ามเนื้อฉีกขาดจะเพิ่มขึ้นในผู้ที่เล่นกีฬาที่มีการปะทะ เช่น ฟุตบอล ชกมวย และมวยปล้ำ กีฬาประเภทต่างๆอาจทำให้เกิดกล้ามเนื้อฉีกขาดในบริเวณที่แตกต่างกัน เช่น
-
กีฬาที่มีการออกตัวและกระโดดอย่างรวดเร็ว อาจทำให้เกิดการบาดเจ็บที่ขาและข้อเท้า
-
กีฬาที่มีการใช้มือคว้า อาจเพิ่มโอกาสในการบาดเจ็บที่มือ
-
กีฬาที่มีการขว้างปา อาจทำให้ข้อศอกได้รับบาดเจ็บ
ลักษณะอาการ
อาการทั่วไปของกล้ามเนื้อฉีก คือผู้ป่วยจะรู้สึกเจ็บ หรือปวดที่กล้ามเนื้อมัดนั้นอย่างรุนแรงโดยเฉพาะเวลาออกแรง หรือใช้งานกล้ามเนื้อมัดนั้น บางครั้งอาจเจ็บมากจนถึงขั้นเคลื่อนไหวไม่ได้ เมื่อเวลาผ่านไป กล้ามเนื้อส่วนนั้นจะเริ่มบวม และมีสีคล้ำขึ้น หรือเกิดรอยฟกช้ำ
ระดับความรุนแรงของการฉีกขาด
ความรุนแรงของการบาดเจ็บจากกล้ามเนื้อที่ฉีกขาด สามารถแบ่งออกเป็น 4 ระดับ ดังนี้
-
ระดับที่ 1: กล้ามเนื้อถูกยืด เกิดการฉีกขาดได้แต่น้อยมาก
-
ระดับที่ 2: กล้ามเนื้อฉีกขาดปานกลาง ยังพอท างานได้
-
ระดับที่ 3: กล้ามเนื้อฉีกขาดเกือบหมดหรือจนหมด กล้ามเนื้ออ่อนแรงหรือไม่สามารถขยับข้อต่อได้
-
ระดับที่ 4: กล้ามเนื้อฉีกขาดออกจากกัน ส่งผลให้ ข้อหลวม รู้สึกเจ็บปวดมาก จนไม่สามารถใช้ชีวิตปกติได้ ความสามารถในการใช้งานลดลง ขึ้นลงบันไดไม่ได้ ซึ่งการบาดเจ็บระดับนี้ ส่วนใหญ่ต้องรักษาด้วยการผ่าตัด
ประเภทของบาดแผลที่พบเจอบ่อย
-
การบาดเจ็บของกล้ามเนื้อ (Strain)
การบาดเจ็บจากการหดตัวของกล้ามเนื้อเอง ซึ่งอาจเกิดจากการหดตัวอย่างรุนแรงทันทีทันใด จนทำให้หลอดเลือดฝอยบริเวณใยกล้ามเนื้อฉีกขาด หรืออาจเกิดจากการหดตัวของกล้ามเนื้อมัดนั้นมากเกินไปในเวลาติดต่อกัน
-
การบาดเจ็บของเอ็น ข้อต่อ (Sprain)
เช่น เอ็นร้อยหวายฉีก ข้อเท้าพลิก และการบาดเจ็บบริเวณ ข้อเท้า ข้อเข่า กีฬาที่มักพบการบาดเจ็บของข้อเข่าหรือข้อเท้าได้บ่อยๆ คือ กีฬาที่ต้องใช้การปะทะ หรือกระทบกระแทกกัน เช่น ฟุตบอล หรือแม้แต่กีฬาที่มีการเคลื่อนไหวทั้งหมดของร่างกาย ก็ทำให้บาดเจ็บข้อเข่าหรือข้อเท้าได้เช่นกัน
-
การบาดเจ็บที่หลัง (Back injury)
นักกีฬาที่มีการเคลื่อนไหวของบั้นเอว ลำตัว ไหล่ และแขนค่อนข้างมาก โดยมักเกิดการดึงรั้งกล้ามเนื้อหลังอย่างมาก มีการเคลื่อนไหวของกระดูกสันหลังระดับบั้นเอวหลายๆ มัด มีผลให้ข้อต่อเล็กๆ ของกระดูกสันหลังระดับบั้นเอวเกิดการเคลื่อนไหวกว่าปกติ จึงเป็นสาเหตุให้นักกีฬาส่วนใหญ่มีอาการปวดหลัง
-
กล้ามเนื้อบวม (Swollen Muscle)
เนื่องจากกล้ามเนื้อบวม ฉีกขาด มีเลือดออก อาจเกิดจากการกระแทก กล้ามเนื้อช้ำ ซึ่งสามารถเกิดกับกล้ามเนื้อส่วนใดก็ได้
แนวทางการรักษาในทางกายภาพบำบัด
-
ประคบเย็น
เพื่อลดอาการบวม ปวด และป้องกันไม่ให้เลือดออก แต่ข้อควรระวังคือ ไม่ควรให้ผิวสัมผัสกับของเย็นโดยตรง เพราะ ความเย็นจัดจะทำให้หลอดเลือดหดตัว และเกิดกล้ามเนื้อขาดเลือดได้
-
พักการใช้กล้ามเนื้อส่วนนั้น
เพื่อป้องกันไม่ให้กล้ามเนื้อบาดเจ็บเสียหายมากขึ้น และให้เส้นใย กล้ามเนื้อได้ฟื้นคืนสภาพ เช่น ผู้ที่ออกกำลังกายแล้วบาดเจ็บ ควรหยุดออกกำลังทันทีที่รู้สึกเจ็บ
-
ยกกล้ามเนื้อส่วนที่ฉีก
ในกรณีที่กล้ามเนื้อมัดนั้นสามารถยกได้ เช่น กล้ามเนื้อขาหรือแขน ให้เรายกกล้ามเนื้อส่วนนั้นไว้ในระดับเหนือกว่าหัวใจ เช่น วางพาดเก้าอี้ จะเป็นการช่วยลดความบวม และลดเลือดคั่งในบริเวณที่บาดเจ็บได้
-
พันผ้ารอบกล้ามเนื้อที่บาดเจ็บ
การใช้ผ้ายืด (Elastic Bandage) พันรอบมัดกล้ามเนื้อ จะช่วยลดอาการบวม อักเสบ และห้อเลือดได้ ทั้งนี้ แพทย์อาจสั่งยาเพื่อบรรเทาอาการปวด และแนะนำให้ทำกายภาพบำบัดเพื่อส่งเสริมความมั่นคงและความแข็งแรงของข้อหรือแขนขาที่ได้รับบาดเจ็บ ทั้งนี้แพทย์อาจแนะนำให้ทำการผ่าตัดซ่อมแซมโดยเฉพาะในผู้ที่มีเส้นเอ็นฉีกขาด
การป้องกันไม่ให้กล้ามเนื้อเกิดการฉีกขาด
- หลีกเลี่ยงการออกกำลังกายอย่างหักโหม และควรวอร์มร่างกาย ยืดคลายกล้ามเนื้อให้ถูกวิธี ทั้งก่อนและหลังออกกำลังกาย
- หลีกเลี่ยงการยกของหนัก และการทำงานที่ต้องใช้กล้ามเนื้อมัด เดิมนาน ๆ ในอิริยาบถที่ไม่เหมาะสม
- หลีกเลี่ยงการอยู่ในพื้นที่ที่เสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุ เช่น ลื่นล้ม หรือสะดุด และไม่วางของที่พื้นเกะกะ
- จัดท่านั่ง และท่ายืนให้เหมาะสม เพื่อป้องกันไม่ให้กล้ามเนื้อตึงเกินไป
อย่างไรก็ดี นอกจากแนวทางการรักษาดังกล่าว ก็ยังมี การ ยืดเหยียดกล้ามเนื้อเป็นประจำ, อบอุ่นร่างกายก่อนและหลังเล่นกีฬาทุกครั้ง, ออกกำลังกายให้สม่ำเสมอ, เริ่มเล่นกีฬาจากเบาๆก่อน ไปหาหนัก, ไม่ออกกำลังกายหนักเกินไป, ดื่มน้ำให้เพียงพอ ก็จะทำให้โอกาสที่กล้ามเนื้อจะบาดเจ็บ ฉีกขาดก็จะลดลงได้ และถ้าหากอาการไม่ดีขึ้นก็ควรรีบไปพบแพทย์ผู้เชียวชาญหรือนักกายภาพฯ ในการตรวจเช็คให้แน่ใจว่าควรรักษาวิธีใดให้หายดี ——————————–
ข้อควรระวัง: เนื้อหาในบทความ วีดีโอ ข้อความคิดเห็น มีจุดประสงค์เพื่อให้ความรู้ และสาธิตให้ดูเป็นตัวอย่างเท่านั้น ไม่ได้มีความตั้งใจจัดทำขึ้นเพื่อทดแทนการเข้ารับการตรวจ วิเคราะห์ และการวางแผนการรักษาของผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์ ผู้เข้าชมไม่ควรวินิจฉัย หรือ คาดเดาโรคด้วยตัวเองจากการอ่านบทความ ข้อคิดเห็น หรือ ดูวีดีโอ นี้ คนไข้ควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์ของตนเองเพื่อทราบสาเหตุที่แท้จริงของอาการปวด และเพื่อหลีกเลี่ยงการปวดที่อาจเกิดเพิ่มมากขึ้นในภายหลัง
บทความที่น่าสนใจ
- ชนิดของกล้ามเนื้อ มีอะไรบ้าง? ส่วนไหนเกิดโรคได้ง่ายที่สุด
- “บำรุงกล้ามเนื้อ” ด้วยอาหาร 6 ชนิดนี้-ช่วยให้แข็งแรงขึ้น
- “ยืดกล้ามเนื้อ” ยืดถูกวิธีจะช่วยลดปวดได้หลายส่วน