“กระดูกสันหลังเสื่อม” อันตราย! หากเป็นแล้วรับมืออย่างไร?
“กระดูกสันหลังเสื่อม” เป็นโรคที่อันตรายโรคหนึ่งของมนุษย์เราเลยก็ว่าได้ เนื่องจากกระดูกสันหลังนั้นถือเป็นอวัยวะที่สำคัญเพราะคอยเป็นสิ่งที่ไว้ค้ำจุนร่างกายให้ยังทรงตัวและเคลื่อนไหวได้ในการทำกิจกรรมประจำวัน ทั้งนี้ตัวกระดูกสันหลังยังเป็นแหล่งที่คอยกักเก็บแคลเซียมและคอยผลิตวิตามินอื่นๆ ให้กับร่างกายคนเราด้วย อย่างไรก็ดี การเป็นโรคเกี่ยวกับกระดูกสันหลังโดยเฉพาะการเสื่อมถอยของความแข็งแรงของกระดูกนั้นถือเป็นเรื่องที่น่ากลัวอย่างยิ่งเพราะมันจะเกิดขึ้นกับเราเมื่อไหร่นั้นไม่อาจทราบได้เลย
“กระดูกสันหลังเสื่อม” คืออะไรและมีสาเหตุมาจากอะไร
เป็นอาการที่กระดูก, หมอนรองกระดูก, ข้อต่อ, เส้นเอ็นกระดูก และกล้ามเนื้อหลัง เสื่อมสภาพ ส่งผลให้กระดูกสันหลัง ขาดความยืดหยุ่น แข็งตัวมากขึ้น มักเกิดขึ้นบริเวณกระดูกสันหลังส่วนคอ (Cervical Spine) และกระดูกสันหลังส่วนเอว (Lumbar Spine) ซึ่งโดยทั่วไปแล้วโรคนี้พบได้ในผู้ที่มีอายุ 35 ปีขึ้นไป แต่ปัจจุบันเริ่มพบในผู้ป่วยที่อายุต่ำกว่านั้นมากขึ้น หากพบว่าความสามารถในการเคลื่อนไหวเริ่มผิดปกติ หรือพบปัญหามือ, แขน, เท้า และขามีอาการชา อ่อนแรง ควรรีบพบแพทย์ เพื่อหาสาเหตุ ประเมินหาแนวทางรักษา และช่วยป้องกันกระดูกสันหลังเสื่อมเพิ่ม
สาเหตุเกิดจาก
เกิดจากการที่กระดูก หมอนรองกระดูก ข้อต่อ เส้นเอ็นกระดูก และกล้ามเนื้อหลังเสื่อมสภาพเมื่ออายุเพิ่มขึ้น จากการที่กระดูกสันหลังโค้งงอเป็นเวลานาน จนก่อให้เกิดแรงกดบนหมอนรองกระดูกและข้อต่อของกระดูกสันหลัง และเสียความยืดหยุ่นไป ยกตัวอย่างเช่น การนั่งติดต่อกันเป็นเวลานาน ๆ โดยเฉพาะการนั่งหลังค่อม พอลุกจากเก้าอี้กระดูกสันหลังจะถูกทำให้ตรงในทันทีจึงทำให้เกิดการเสียดทานขึ้น ร่างกายจึงสร้างกระดูกงอกออกมาจากข้อต่อเพื่อชดเชยความเสียหายที่เกิดขึ้น แต่ในบางครั้งกระดูกที่งอกขึ้นมานั้นมีขนาดใหญ่เกินไปจนเบียดกับเส้นประสาทและไขสันหลังทำให้เกิดอาการปวด ซึ่งมักพบทั่วไปในผู้สูงอายุ
อาการที่เกิด
อาการของโรคนี้กระดูกสันหลังเสื่อมจะปรากฏอาการปวดคอ หรือปวดหลังซึ่งอาจเป็น ๆ หายๆ แต่บางคนอาจมีอาการปวดเรื้อรัง หรือบางครั้งอาการปวดอาจจะรุนแรงขึ้นเมื่อเปลี่ยนท่าทาง ในกรณีที่มีการกดเบียดเส้นประสาทรุนแรง จะทำให้เดินลำบาก เดินแล้วไม่สมดุล ไม่มั่นคงเหมือนจะหกล้ม โดยเฉพาะเวลาขึ้นบันได หรือก้าวขาขึ้นรถ เป็นต้น
อาการอื่นๆ ที่อาจเกิดร่วม
อาการที่พบได้บ่อย ได้แก่ 1.ปวดบั้นเอว 2.กระดูกสันหลังติดแข็งและขยับตัวลำบาก 3.มือ แขน เท้า ขา ข้างใดข้างหนึ่ง หรือทั้งสองข้างมีอาการชา อ่อนแรง และเป็นเหน็บ 4.ปวดศีรษะ มีไข้ กรณีที่เกิดขึ้นบริเวณคอ 5.กลั้นปัสสาวะหรืออุจจาระไม่ค่อยอยู่
แนวทางการรักษาที่เป็นไปได้
หากพบว่ามีอาการ ผู้ป่วยสามารถรักษาตนเองในเบื้องต้นได้ ยกตัวอย่างเช่น การประคบร้อนหรือประคบเย็นบริเวณที่ปวด และการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอก็มีส่วนช่วยให้ผู้ป่วยฟื้นตัวเร็วขึ้นได้เช่นกัน หากยังไม่ดีขึ้น อาจใช้ยาช่วยแต่ยาบางชนิดอาจส่งผลต่อผู้ป่วยที่เป็นโรคหอบหืด ความดันโลหิตสูง โรคตับ โรคหัวใจหรือผู้ที่เคยมีแผลในกระเพาะอาหาร ทั้งนี้ผู้ป่วยสามารถปรึกษาเภสัชกรหรือแพทย์ได้ หรือหากรักษาด้วยยาไม่ได้ผล แนะนำให้ลองวิธีอื่นเช่นการทำกายภาพบำบัด การฉีดยาเข้าโพรงกระดูกสันหลัง หรือแม้แต่การผ่าตัด แต่การผ่าตัดเหมาะสำหรับผู้ที่มีอาการรุนแรง เพราะมีผลข้างเคียงในหลาย ๆ ด้าน หรือการใช้เลเซอร์เป็นอีกหนึ่งทางเลือกสำหรับผู้ที่มีปัญหาด้านหมอนรองกระดูก ทำให้ผู้ป่วยไม่จำเป็นต้องรับการผ่าตัด ผู้ป่วยควรปรึกษาแพทย์ก่อน วิธีการรักษาต่างๆ มีดังนี้
- รักษาด้วยยาในกลุ่มต้านอาการอักเสบ
โดยใช้เป็นตัวยาที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ แต่เป็นยาแก้ปวดที่มีประสิทธิภาพมากที่สุดต่ออาการกระดูกสันหลังเสื่อม และยาทั่วไปที่ใช้กันได้แก่ ไดโคลฟีแนค ไอบูโพรเฟน และนาพรอกเซน
- ยาพาราเซตามอล
เป็นยาที่ใช้ลดการปวด หาซื้อได้ทั่วไปโดยไม่ต้องใช้ใบสั่งยาจากแพทย์ แต่หากไม่ใช้ยาตามคำแนะนำของแพทย์อย่างถูกต้องอาจส่งผลเสียต่อตับได้
-
การทำกายภาพบำบัด
ช่วยให้ผู้ป่วยเพิ่มการเคลื่อนไหวและความแข็งแรง บางกรณีนักกายภาพบำบัดอาจใช้วิธียืดกระดูกสันหลังที่กดทับเส้นประสาท ให้มีช่องระหว่างกระดูกสันหลังมากขึ้น เพื่อช่วยลดอาการปวดของผู้ป่วยลง
-
ฉีดยาเข้าโพรงกระดูกสันหลัง
การฉีดยาเช่นนี้ช่วยลดอาการปวดและแผลที่อักเสบบริเวณหมอนรองกระดูกสันหลัง
- การผ่าตัด
มีหลายประเภท เช่น การผ่าตัดเชื่อมข้อต่อกระดูกสันหลังหรือการผ่าตัดเปลี่ยนหมอนรองกระดูกสันหลังเทียม แต่การผ่าตัดแต่ละครั้งจะถูกนำมาพิจารณาก็ต่อเมื่อการรักษาโดยวิธีอื่น ๆ นั้นใช้ไม่ได้ผล ทำให้คุณภาพชีวิตของผู้ป่วยแย่ลง ทั้งนี้การผ่าตัดอาจจะช่วยป้องกันอาการไม่ให้แย่ลง แต่ไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้
- การใช้เลเซอร์
รักษาหลีกเลี่ยงการผ่าตัด เป็นหนึ่งในเทคโนโลยีที่ความทันสมัยมากที่สุด ใช้ในกรณีที่หมอนรองกระดูกเสื่อม ปลิ้นกดทับเส้นประสาท เทคนิคนี้ผู้ป่วยไม่จำเป็นต้องเข้ารับการผ่าตัด ระยะเวลาการรักษาและพักฟื้นเร็ว ไม่มีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ ที่แผลขนาดเล็กกว่าเมื่อเทียบกับการผ่าตัด
ภาวะแทรกซ้อนของกระดูกสันหลังเสื่อม
เมื่อกระดูกสันหลังส่วนคอเสื่อม อาจเกิดภาวะแทรกซ้อนต่าง ๆ ขึ้นได้ เช่น
- การกดทับบริเวณไขสันหลัง
- แผลกดทับ
- ปอดติดเชื้อ
การป้องกันไม่ให้กระดูกสันหลังเสื่อม
เมื่อเข้าอายุมากขึ้น เราต้องเผชิญกับอาการปวดหลังและคอ แต่สามารถป้องกันกระดูกสันหลังเสื่อมด้วยวิธีต่าง ๆ ดังนี้
1.นั่งในท่าที่ดี
ควรนั่งตัวตรง มีหมอนหรือเบาะรองระหว่างหลังเก้าอี้เพื่อรองรับส่วนบั้นเอว เท้าทั้งสองข้างแตะพื้นพอดี โดยการวางข้อศอกสองข้างบนโต๊ะจะช่วยลดอาการตึงบริเวณบ่าและคอหากต้องพิมพ์งานเป็นเวลานาน ๆ ได้
2.จัดให้คอมพิวเตอร์สูงพอดีในระยะสายตา
เพื่อช่วยให้สายตาของคุณมองต่ำลงมาเป็นมุม 15-20 องศา เพื่อลดอาการตึงบริเวณคอ พักการใช้คอมพิวเตอร์เป็นระยะ ๆ ผลัดนั่งตัวตรงเป็นเวลา 10-15นาที แล้วลุกขึ้นเดิน ยืดเส้นยืดสายบ้าง
3.ออกกำลังกาย
โดยใช้ท่ายืดเหยียดกล้ามเนื้อและท่าเพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อหลัง
4.หลีกเลี่ยงการก้มๆ เงยๆ
โดยไม่นั่งหรือทำกิจกรรมที่อยู่ในท่าใดท่าหนึ่งนานๆ หลีกเลี่ยงการยกของหนัก และระมัดระวังไม่ให้หลังได้รับการกระทบกระเทือนหรืออุบัติเหตุ ท้ายที่สุด สิ่งสำคัญคือการดูแลตัวเองเพราะหากเกิดโรคนี้ขึ้นมาจริงๆ กับเรานั้น จะเป็นการยากในการที่จะรักษาให้หายขาดได้ อีกทั้งยังเป็นโรคที่สามารถเกิดได้กับคนที่มีอายุยังน้อย ดังนั้นจึงแปลว่าไม่ว่าใครก็ต้องคอยระวังตัวในการทำกิจวัตรประวันให้ดีด้วย เพื่อสุขภาพที่ดีของกระดูกสันหลังของเรานั่นเอง
——————————–
ข้อควรระวัง: เนื้อหาในบทความ วีดีโอ ข้อความคิดเห็น มีจุดประสงค์เพื่อให้ความรู้ และสาธิตให้ดูเป็นตัวอย่างเท่านั้น ไม่ได้มีความตั้งใจจัดทำขึ้นเพื่อทดแทนการเข้ารับการตรวจ วิเคราะห์ และการวางแผนการรักษาของผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์ ผู้เข้าชมไม่ควรวินิจฉัย หรือ คาดเดาโรคด้วยตัวเองจากการอ่านบทความ ข้อคิดเห็น หรือ ดูวีดีโอ นี้ คนไข้ควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์ของตนเองเพื่อทราบสาเหตุที่แท้จริงของอาการปวด และเพื่อหลีกเลี่ยงการปวดที่อาจเกิดเพิ่มมากขึ้นในภายหลัง
บทความที่น่าสนใจ
- นั่งนาน ปวดหลัง แก้ได้ไม่ยาก
- ปวดกล้ามเนื้อหลัง (Myofascial Pain Syndrome)
- ปวดหัว มึนหัว ปวดกระบอกตา คล้ายไมเกรน