“ข้อกระดูกเสื่อม” โรคยอดฮิตที่เกิดขึ้นได้ในวัยรุ่น ป้องกันยังไงดี?
ข้อกระดูกเสื่อม เมื่อพูดถึงภาวะนี้ขึ้นมาหลาย ๆ คนอาจคิดว่าเป็นภาวะที่เกิดขึ้นแค่เฉพาะผู้สูงอายุเท่านั้น แต่แท้จริงแล้วสามารถเกิดขึ้นได้ในวัยรุ่นเช่นกัน โดยเป็นที่ทราบกันดีว่า”ระบบกระดูก” ระบบที่สำคัญอีกระบบหนึ่งของร่างกายเพราะนอกจากอวัยวะที่สำคัญมากๆ อย่าง “หัวใจ” ที่คอยส่งเลือดหล่อเลี้ยงทั่วร่างกายและเราไม่สามารถขาดได้แล้ว ก็เห็นจะมี “กระดูก” อีกสิ่งหนึ่งที่เป็นส่วนสำคัญที่คนเราขาดไม่ได้ เนื่องจากไม่ว่าเราจะทำอะไรก็ตาม เดิน นั่ง นอน ยืน รวมถึงการเคลื่อนไหวอื่นๆ เราก็จะมีกระดูกเป็นองค์ประกอบสำคัญในการทำกิจกรรมดังกล่าวทั้งสิ้น ดังนั้น เราจึงควรระมัดระวังโรคกระดูกทุกชนิดโดยเฉพาะภาวะเสื่อมในผู้ป่วยอายุน้อยเพราะหากไม่ป้องกันอาจส่งผลร้ายแรงในระยะยาว
“ข้อกระดูกเสื่อม” ภาวะที่ควรระมัดระวังเพราะเกิดขึ้นได้แม้คุณจะอายุน้อย!
เชื่อว่าคุณผู้อ่านหลายคนคิดว่า “โรคกระดูกเสื่อม” ส่วนใหญ่มักพบในกลุ่มของผู้สูงอายุ แต่ในความเป็นจริงแล้ว โรคกระดูกเสื่อม สามารถเกิดได้กับคนในทุกเพศและทุกวัย ไม่เว้นแม้จะเป็นวัยรุ่นหนุ่มสาววัยทำงานก็ตาม ซึ่งสำหรับภาวะกระดูกเสื่อมในปัจจุบัน หลัก ๆ เลยคือเรื่องของอวัยวะที่ใช้สำหรับรับน้ำหนัก เช่นในส่วนของกระดูกสันหลัง กระดูกข้อต่าง ๆ ทั้งข้อเข่า ข้อสะโพก ข้อเท้า ข้อสันหลัง เป็นต้นและสามารถเกิดขึ้นได้ทั้งในวัยผู้สูงอายุและวัยรุ่นด้วยเช่นกัน
โรคกระดูกเสื่อม คือ…
คือโรคที่มีการเสื่อมของกระดูกอ่อนของข้อที่มีการเคลื่อนไหวมาก เช่น ข้อเท้า ข้อเข่า ข้อสะโพก ข้อมือ ข้อศอก ข้อไหล่ และข้อนิ้วมือนิ้วเท้า ซึ่งส่วนประกอบหลักของกระดูกอ่อนเหล่านี้คือน้ำและโปรตีน ที่จะทำให้กระดูกอ่อนมีความยืดหยุ่น ทนต่อแรงกระแทกและเสียดสี แต่เมื่อใช้ไปนานๆ ก็จะเกิดการเสื่อมและสึกหรอ เมื่อเสื่อมแล้วก็จะเกิดอาการปวดขัดตามข้อ ข้อโปนและผิดรูป มักพบในผู้สูงอายุ โดยเฉพาะผู้ที่ต้องทำงานหนัก เช่น ชาวไร่ชาวนา กรรมกร เป็นต้น
ข้อกระดูกมีภาวะเสื่อมในวัยรุ่น มักเกิดจาก…
โดยทั่วไปแล้วเกิดจากการที่กระดูก หมอนรองกระดูก ข้อต่อ เส้นเอ็นกระดูก และกล้ามเนื้อหลังเสื่อมสภาพเมื่ออายุเพิ่มขึ้น จากการที่กระดูกสันหลังโค้งงอเป็นเวลานาน จนก่อให้เกิดแรงกดบนหมอนรองกระดูกและข้อต่อของกระดูกสันหลัง และเสียความยืดหยุ่นไป ยกตัวอย่างเช่น การนั่งติดต่อกันเป็นเวลานาน ๆ โดยเฉพาะการนั่งหลังค่อม พอลุกจากเก้าอี้กระดูกสันหลังจะถูกทำให้ตรงในทันทีจึงทำให้เกิดการเสียดทานขึ้น ร่างกายจึงสร้างกระดูกงอกออกมาจากข้อต่อเพื่อชดเชยความเสียหายที่เกิดขึ้น แต่ในบางครั้งกระดูกที่งอกขึ้นมานั้นมีขนาดใหญ่เกินไปจนเบียดกับเส้นประสาทและไขสันหลังทำให้เกิดอาการปวด ซึ่งมักพบทั่วไปในผู้สูงอายุ แต่สำหรับในวัยรุ่นมักเกิดจาก 2 ปัจจัยหลัก ๆ คือ…
- การใช้งาน มักเกิดในกรณีของคนอายุน้อยๆ แล้วใช้งานร่างกายผิดท่าเป็นระยะเวลานาน ล้วนส่งผลต่อการเสื่อมสภาพของหมอนรองกระดูกมากขึ้น และส่งผลให้กระดูกที่ใช้งานต่อเนื่องเป็นระยะเวลานานนั้นเกิดการเสื่อมมากขึ้น
- โครงสร้างทางพันธุกรรม โครงสร้างของร่างกายแต่ละคน บางคนที่ไม่แข็งแรงก็จะเกิดการทรุดตัวของกระดูกได้ง่าย
ข้อกระดูกมีภาวะเสื่อม อาการในผู้ป่วยกลุ่มอายุน้อย เป็นอย่างไร?
อาการของโรคนี้กระดูกสันหลังเสื่อมจะปรากฏอาการปวดคอ หรือปวดหลังซึ่งอาจเป็น ๆ หายๆ แต่บางคนอาจมีอาการปวดเรื้อรัง หรือบางครั้งอาการปวดอาจจะรุนแรงขึ้นเมื่อเปลี่ยนท่าทาง ในกรณีที่มีการกดเบียดเส้นประสาทรุนแรง จะทำให้เดินลำบาก เดินแล้วไม่สมดุล ไม่มั่นคงเหมือนจะหกล้ม โดยเฉพาะเวลาขึ้นบันได หรือก้าวขาขึ้นรถ เป็นต้น
อาการอื่นๆ ที่อาจเกิดร่วม
อาการที่พบได้บ่อย ได้แก่
1.ปวดบั้นเอว
2.กระดูกสันหลังติดแข็งและขยับตัวลำบาก
3.มือ แขน เท้า ขา ข้างใดข้างหนึ่ง หรือทั้งสองข้างมีอาการชา อ่อนแรง และเป็นเหน็บ
4.ปวดศีรษะ มีไข้ กรณีที่เกิดขึ้นบริเวณคอ 5.กลั้นปัสสาวะหรืออุจจาระไม่ค่อยอยู่
แนวทางการรักษาภาวะข้อกระดูกเกิดการเสื่อมที่เป็นไปได้
หากพบว่ามีอาการ ผู้ป่วยสามารถรักษาตนเองในเบื้องต้นได้ ยกตัวอย่างเช่น การประคบร้อนหรือประคบเย็นบริเวณที่ปวด และการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอก็มีส่วนช่วยให้ผู้ป่วยฟื้นตัวเร็วขึ้นได้เช่นกัน หากยังไม่ดีขึ้น อาจใช้ยาช่วยแต่ยาบางชนิดอาจส่งผลต่อผู้ป่วยที่เป็นโรคหอบหืด ความดันโลหิตสูง โรคตับ โรคหัวใจหรือผู้ที่เคยมีแผลในกระเพาะอาหาร ทั้งนี้ผู้ป่วยสามารถปรึกษาเภสัชกรหรือแพทย์ได้ หรือหากรักษาด้วยยาไม่ได้ผล แนะนำให้ลองวิธีอื่นเช่นการทำกายภาพบำบัด การฉีดยาเข้าโพรงกระดูกสันหลัง หรือแม้แต่การผ่าตัด แต่การผ่าตัดเหมาะสำหรับผู้ที่มีอาการรุนแรง เพราะมีผลข้างเคียงในหลาย ๆ ด้าน หรือการใช้เลเซอร์เป็นอีกหนึ่งทางเลือกสำหรับผู้ที่มีปัญหาด้านหมอนรองกระดูก ทำให้ผู้ป่วยไม่จำเป็นต้องรับการผ่าตัด ผู้ป่วยควรปรึกษาแพทย์ก่อน วิธีการรักษาต่างๆ มีดังนี้
-
รักษาด้วยยาในกลุ่มต้านอาการอักเสบ
โดยใช้เป็นตัวยาที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ แต่เป็นยาแก้ปวดที่มีประสิทธิภาพมากที่สุดต่ออาการกระดูกสันหลังเสื่อม และยาทั่วไปที่ใช้กันได้แก่ ไดโคลฟีแนค ไอบูโพรเฟน และนาพรอกเซน
-
ยาพาราเซตามอล
เป็นยาที่ใช้ลดการปวด หาซื้อได้ทั่วไปโดยไม่ต้องใช้ใบสั่งยาจากแพทย์ แต่หากไม่ใช้ยาตามคำแนะนำของแพทย์อย่างถูกต้องอาจส่งผลเสียต่อตับได้
-
การทำกายภาพบำบัด
ช่วยให้ผู้ป่วยเพิ่มการเคลื่อนไหวและความแข็งแรง บางกรณีนักกายภาพบำบัดอาจใช้วิธียืดกระดูกสันหลังที่กดทับเส้นประสาท ให้มีช่องระหว่างกระดูกสันหลังมากขึ้น เพื่อช่วยลดอาการปวดของผู้ป่วยลง
-
ฉีดยาเข้าโพรงกระดูกสันหลัง
การฉีดยาเช่นนี้ช่วยลดอาการปวดและแผลที่อักเสบบริเวณหมอนรองกระดูกสันหลัง
-
การผ่าตัด
มีหลายประเภท เช่น การผ่าตัดเชื่อมข้อต่อกระดูกสันหลังหรือการผ่าตัดเปลี่ยนหมอนรองกระดูกสันหลังเทียม แต่การผ่าตัดแต่ละครั้งจะถูกนำมาพิจารณาก็ต่อเมื่อการรักษาโดยวิธีอื่น ๆ นั้นใช้ไม่ได้ผล ทำให้คุณภาพชีวิตของผู้ป่วยแย่ลง ทั้งนี้การผ่าตัดอาจจะช่วยป้องกันอาการไม่ให้แย่ลง แต่ไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้
-
การใช้เลเซอร์
รักษาหลีกเลี่ยงการผ่าตัด เป็นหนึ่งในเทคโนโลยีที่ความทันสมัยมากที่สุด ใช้ในกรณีที่หมอนรองกระดูกเสื่อม ปลิ้นกดทับเส้นประสาท เทคนิคนี้ผู้ป่วยไม่จำเป็นต้องเข้ารับการผ่าตัด ระยะเวลาการรักษาและพักฟื้นเร็ว ไม่มีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ ที่แผลขนาดเล็กกว่าเมื่อเทียบกับการผ่าตัด
วิธีป้องกันโรคข้อกระดูกเสื่อมในวัยรุ่น
วิธีป้องกันไม่ยาก อันดับแรกต้องสำรวจตัวเองก่อนว่า อาการที่เกิดขึ้นเป็นอาการของโรคกระดูกเสื่อมหรือไม่ รวมทั้งต้องคอยสังเกตดูว่าท่าทางการใช้งานในชีวิตประจำวัน มีท่าทางไหนที่ก่อให้เกิดปัญหากับกระดูก เช่นการก้ม การนั่งนานๆ เหล่านี้ต้องมีการปรับปรุงการใช้งาน เพื่อให้อยู่ในท่านั่งที่ถูกต้อง จะช่วยลดการบาดเจ็บของหมอนรองกระดูกสันหลัง รวมทั้งช่วยลดการบาดเจ็บของข้อต่อต่างๆ ซึ่งเป็นอีกวิธีที่สามารถชะลอการเสื่อมของกระดูกในระยะยาวได้ อันดับต่อมาคือเรื่องของการออกกำลังกาย เพื่อช่วยให้โครงสร้างของกล้ามเนื้อที่หุ้มกระดูกไว้แข็งแรงมากขึ้น
โรคอื่น ๆ เกี่ยวกับกระดูกที่คนอายุน้อยต้องระวัง
โรคที่เกี่ยวกับโครงกระดูกจะส่งผลต่อความแข็งแรงและความสามารถในการเคลื่อนไหวของร่างกายโดยตรง ความผิดปกติของโครงกระดูกที่พบบ่อยคือกระดูกหัก ซึ่งเกิดจากการที่กระดูกได้รับแรงที่มากเกินไป โดยส่วนมากอาจเกิดจากอุบัติเหตุ แต่ก็ยังมีโรคอื่นๆ ที่ตามมาได้อีก เช่น
1. กระดูกพรุน
คือภาวะที่ปริมาณแร่ธาตุ (ที่สำคัญคือแคลเซียม) ในกระดูกลดลง ร่วมกับความเสื่อมของเนื้อเยื่อที่ประกอบเป็นโครงสร้างภายในกระดูก ทำให้เนื้อหรือมวลกระดูกลดความหนาแน่น จึงเปราะบางแตกหักง่าย บริเวณที่พบการหักของกระดูกได้บ่อย ได้แก่ ข้อมือ สะโพก และสันหลัง เป็นต้น ซึ่งโรคนี้สามารถป้องกันได้โดยปรับเปลี่ยนพฤติกรรมบางอย่างให้ดีขึ้น เช่น การออกกำลังกาย การรับประทานอาหาร ฯลฯ
2. ข้อเข่าเสื่อม
เกิดจากกระดูกอ่อนของข้อเข่า หรือผิวข้อสึกกร่อน เมื่อไม่มีผิวกระดูกอ่อนมาห่อหุ้ม เนื้อกระดูกที่มาชนกันขณะรับน้ำหนักจึงทำให้เกิดอาการเจ็บปวด ถ้าเกิดอาการเรื้อรัง กระดูกจะมีการซ่อมแซมตัวเองจนเกิดเป็นกระดูกงอกขรุขระขึ้นภายในข้อ ก็จะทำให้การเคลื่อนไหวติดขัด และมีเสียงดัง หากบ่อยเอาไว้จะทำให้เกิดอาการเจ็บเรื้อรังส่งผลให้กระดูกจะมีการซ่อมแซมตัวเองจนเกิดเป็นกระดูกงอกขรุขระขึ้นภายในข้อ ก็จะทำให้การเคลื่อนไหวติดขัดได้
3. กระดูกทับเส้น
คือปัญหาเกี่ยวกับหมอนรองกระดูกอย่างหนึ่ง เกิดจากหมอนรองกระดูกที่อยู่บริเวณกระดูกสันหลังถูกทำลายจนเสียหาย ส่งผลให้ไปกดทับเส้นประสาท ณ ตำแหน่งที่กระดูกนั้นๆ เชื่อมต่อกัน และมักส่งผลให้หมอนรองกระดูกแตก และกระดูกอ่อนส่วนที่อยู่ภายในหมอนรองกระดูกโผล่ออกมา เมื่อหมอนรองกระดูกเคลื่อนหรือกระดูกทับเส้นทำให้ผู้ป่วยเจ็บปวดและไม่สบายตัว หากกระดูกที่เคลื่อนออกมานั้นกดทับเส้นประสาท ผู้ป่วยอาจรู้สึกชา อ่อนแรง หรือเจ็บบริเวณแนวเส้นประสาทที่ถูกกดทับ ในกรณีที่ผู้ป่วยมีอาการรุนแรง อาจต้องได้รับการผ่าตัดเพื่อรักษาหรือนำกระดูกที่ทับเส้นออกไป
4. ออฟฟิศซินโดรม
มักเกิดจากการใช้งานกล้ามเนื้อมัดเดิม ๆ ซ้ำ ๆ เป็นเวลานาน ไม่ค่อยได้เปลี่ยนท่าทาง รวมถึงอิริยาบถที่ไม่เหมาะสม เช่น การนั่งไขว่ห้างเป็นประจำ การนั่งตัวงอ หรือการก้มหน้านาน ๆ เป็นต้น ทำให้กล้ามเนื้อที่ถูกใช้งานซ้ำ ๆ มีการหดเกร็ง หรือยืดค้างในรูปแบบเดิมบ่อย ๆ จนกล้ามเนื้อมัดนั้น ๆ เกิดการบาดเจ็บ หรืออาจขมวดเป็นก้อนตึง และเกิดอาการปวดตามมา
อย่างไรก็ดี ทั้ง 5 โรคนี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งที่เกี่ยวข้องก็บกระดูกเท่านั้น ยังมีอีกหลายโรคมากมายที่มีความร้ายแรงและควรเฝ้าระวังให้ดีทีเดียว ดังนั้นสิ่งที่เราควรทำคือการดูแลกระดูกของเราให้ดี รับประทานอาหารที่เสริมความแข็งแรงของกระดูกและออกกำลังกายอย่างเสมอเพื่อให้เรามีสุขภาพที่ดีทั้งร่างกายนั่นเอง
——————————–
ข้อควรระวัง: เนื้อหาในบทความ วีดีโอ ข้อความคิดเห็น มีจุดประสงค์เพื่อให้ความรู้ และสาธิตให้ดูเป็นตัวอย่างเท่านั้น ไม่ได้มีความตั้งใจจัดทำขึ้นเพื่อทดแทนการเข้ารับการตรวจ วิเคราะห์ และการวางแผนการรักษาของผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์ ผู้เข้าชมไม่ควรวินิจฉัย หรือ คาดเดาโรคด้วยตัวเองจากการอ่านบทความ ข้อคิดเห็น หรือ ดูวีดีโอ นี้ คนไข้ควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์ของตนเองเพื่อทราบสาเหตุที่แท้จริงของอาการปวด และเพื่อหลีกเลี่ยงการปวดที่อาจเกิดเพิ่มมากขึ้นในภายหลัง
บทความที่น่าสนใจ
- นั่งนาน ปวดหลัง แก้ได้ไม่ยาก
- ปวดกล้ามเนื้อหลัง (Myofascial Pain Syndrome)
- ปวดหัว มึนหัว ปวดกระบอกตา คล้ายไมเกรน