ปวดหัวแบบบีบรัด รู้สึกเหมือนโดนบีบตลอดเวลา คืออะไร อันตรายไหม?
ปวดหัวแบบบีบรัด เชื่อว่าหลาย ๆ คนเคยพบเจอกับอาการนี้ หรืออาจจะกำลังเผชิญกับอาการปวดหัวเช่นนี้อยู่โดยเฉพาะในวัยทำงานที่มีแนวโน้มที่จะเกิดอาการบีบรัดที่บริเวณศีรษะมากที่สุด เนื่องจากเป็นวัยที่ต้องพบเจอกับอาการเครียดและภาวะนอนไม่หลับได้ง่าย อย่างไรก็ดีเมื่อเกิดอาการเช่นนี้ ควรทำอย่างไร? ซึ่งก่อนที่จะศึกษาวิธีการรักษาว่ามีอะไรบ้างนั้น ผู้อ่านควรรู้จักกับภาวะนี้เสียก่อนว่าเกิดจากอะไร และเป็นโรคอะไรกันแน่
ปวดหัวแบบบีบรัด คืออะไร อันตรายหรือไม่ รักษาหายได้หรือเปล่า?
การปวดหัวนั้นสามารถแบ่งออกได้หลายแบบ เช่น ปวดตึง ๆ ปวดหัวข้างเดียว ปวดเป็นจุด ๆ เป็นต้น โดยภาวะปวดหัวส่วนใหญ่ที่เราจะคุ้นเคยกันดีก็คือ “ไมเกรน” ที่ในปัจจุบันคงไม่มีใครไม่รู้จัก โดยผู้ที่ป่วยเป็นโรคนี้มักจะปวดหัวข้างเดียว และในบางรายก็ปวดหัวหนัก ๆ ทั้ง 2 ข้างตามที่ได้กล่าวไว้ข้างต้น แต่ลักษณะของการปวดหัวที่มีการบีบรัดนั้นก็เป็นอาการที่แสดงของอีกโรคหนึ่งที่หลาย ๆ คนอาจไม่เคยได้ยินมาก่อน นั่นคือ Tension Headache นั่นเอง
โรค Tension Headache คือ…
อาการปวดศีรษะจากความเครียด กล้ามเนื้อตึงตัว ผู้ป่วยมักมีประวัติการปวดศีรษะในช่วงสาย ๆ มีลักษณะการปวดแบบบีบรัดที่ขมับ มักเกิดจากการทำงานที่ต้องใช้สายตาเป็นหลัก หรืออาการปวดศีรษะที่เกิดจากอวัยวะข้างเคียง เช่น ไซนัสอักเสบ กระดูกคอเสื่อม เหงือกอักเสบ คออักเสบ หรือหูอักเสบ เป็นต้น
สาเหตุเกิดจาก
อาการปวดหัวชนิดนี้เกิดได้จากหลายสาเหตุ เช่น อดนอน เครียด ใช้สมองหรือสายตาเป็นเวลานาน ๆ การปวดมีลักษณะตึง ๆ ตื้อ ๆ บางคนอาจปวดจี๊ด ๆ ร่วมด้วย มักปวดที่ขมับหน้าผากหรือรอบศีรษะ (ข้างเดียวหรือสองข้างก็ได้) อาการปวดมักจะเริ่มตอนสาย ๆ หรือบ่าย หรือ เมื่อเริ่มเคร่งเครียดกับงานนาน ๆ แล้วมักจะปวดต่อไปทั้งวัน อาจไม่รุนแรงแต่พอทำให้รู้สึกรำคาญได้
ลักษณะอาการ
อาการปวดศีรษะจากกล้ามเนื้อตึงตัวพบได้บ่อย มักมีอาการปวดที่ต้นคอ อาจร้าวไปถึงขมับสองข้างหรือปวดทั่วศีรษะ ปวดตื้อ มึน เหมือนอะไรมาบีบมารัด อาการค่อย ๆ เป็น มักเริ่มตอนบ่ายหรือเย็น อาการปวดอาจเป็นชั่วโมง วัน สัปดาห์ เดือน หรือปีก็ได้ ขึ้นอยู่กับความเครียดและการพักผ่อน
อาการปวดหัวแบบ Tension Headache อันตรายหรือไม่?
การปวดศีรษะ เป็นอาการที่มีสัดส่วนมากที่สุดที่คนไข้จะเดินเข้ามาในแผนกอายุรกรรมสมอง และระบบประสาท สาเหตุอาจจะเกิดจากการดำเนินชีวิตในสังคมสมัยใหม่ที่เปลี่ยนไป ทุกคนต่างเร่งรีบ อาจมีความเครียดและอดนอน แต่อาการปวดศีรษะไม่ได้เกิดจากแค่ความเครียดหรือการอดนอนก็ได้ อาจจะเป็นอาการนำของโรคอันตรายที่ทำให้พิการหรือเสียชีวิตก็ได้ ซึ่งอาการปวดหัวมีทั้งแบบกลุ่มที่อันตรายและไม่อันตราย โดยการปวดหัวแบบ Tension Headache จัดอยู่ในประเภทที่ไม่อันตรายโดยจะแสดงอาการที่มีรูปแบบเฉพาะ เช่น มีอาการปวดหัวเป็น ๆ หาย ๆ คือจะต้องมีช่วงที่หายสนิทเกิดขึ้น แต่ละโรคก็จะมีระยะเวลาที่แตกต่างกัน โดย ปวดหัว Tension อาจจะปวดได้เป็นวันหรือเป็นสัปดาห์ แล้วก็เป็นใหม่ ขึ้นอยู่กับตัวกระตุ้น
แนวทางการรักษา
สามารถแบ่งออกได้ 2 ทางหลัก ๆ คือ
1.การปรับพฤติกรรมที่อาจเป็นสิ่งกระตุ้น
เช่น หลีกเลี่ยงสิ่งกระตุ้น ได้แก่ ความเครียด การนอนหลับพักผ่อนไม่เพียงพอ
2. เทคโนโลยีคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า TMS
เทคโนโลยีคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า TMS หรือ การกระตุ้นสมองด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า เป็นอีกทางเลือกหนึ่งในการรักษาอาการปวดศีรษะจากกล้ามเนื้อตึงตัว (Tension Headache) เพื่อลดความรุนแรงของอาการปวดและความถี่ของการกำเริบ
ท่าบริหารง่าย ๆ บรรเทาอาการปวดหัวบีบรัด
สำหรับการออกกำลังกายง่าย ๆ ก็ถือว่าเป็นอีกหนึ่งแนวทางที่ช่วยบรรเทาอาการปวดหัวในลักษณะนี้ได้ ผู้ป่วยสามารถทำตามได้ ดังนี้
การเอียงคอ:
เอียงคอไปทางขวาเข้าหาไหล่ขวา จากนั้นเอียงกลับมาท่าตรง แล้วเอียงคอไปทางซ้ายเข้าหาไหล่ซ้าย จากนั้นเอียงกลับมาท่าตรง
การก้มศีรษะ:
ค่อย ๆ ก้มศีรษะไปข้างหน้าจนคางแตะอก จากนั้นค่อย ๆ เงยศีรษะไปด้านหลังจนสุด
การยืดกล้ามเนื้อคอ:
เกี่ยวมือ 2 ข้างไว้หลังศีรษะโดยให้หลังตรงและเกร็งท้องไว้ โน้มข้อศอกให้เข้าใกล้กันที่สุด โดยกางศอก 2 ข้างแอ่นไปด้านหลังให้มากที่สุด
อย่างไรก็ดี ในการรักษาอาการปวดหัวแบบ Tension นั้นต้องอาศัยทั้งการรักษาจากการแพทย์ และการดูแลตนเองของคนไข้ร่วมด้วย เช่น การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมต่าง ๆ ใครที่เคยนอนดึกก็นอนให้เร็วขึ้น หรือใครที่มีความเครียดได้ง่ายก็อาจจะหาทางในการผ่อนคลายความเครียดนั้น ๆ เพื่อไม่ให้เกิดอาการปวดบีบเช่นนี้ขึ้น เพราะแม้การปวดหัวแบบ Tension จะไม่มีอยู่ในการอาการปวดหัวแบบอันตราย แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าผู้ป่วยควรปล่อยปละละเลยได้ เพราะในอนาคตอาจส่งผลให้เกิดผลเสียได้นั่นเอง
———————–
ข้อควรระวัง: เนื้อหาในบทความ วิดีโอ ข้อความคิดเห็น มีจุดประสงค์เพื่อให้ความรู้ และสาธิตให้ดูเป็นตัวอย่างเท่านั้น ไม่ได้มีความตั้งใจจัดทำขึ้นเพื่อทดแทนการเข้ารับการตรวจ วิเคราะห์ และการวางแผนการรักษาของผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์ ผู้เข้าชมไม่ควรวินิจฉัย หรือ คาดเดาโรคด้วยตัวเองจากการอ่านบทความ ข้อคิดเห็น หรือ ดูวิดีโอ นี้ คนไข้ควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์ของตนเองเพื่อทราบสาเหตุที่แท้จริงของอาการปวด และเพื่อหลีกเลี่ยงการปวดที่อาจเกิดเพิ่มมากขึ้นในภายหลัง
บทความที่น่าสนใจ
- ปวดหัวตุ้บ ๆ ข้างขวา อาการแบบนี้เป็นไมเกรนหรือเปล่า?
- โรคหลอดเลือดสมอง: สัญญาณอันตรายของอัมพาต
- นั่งนานปวดเอว หากไม่รีบแก้อาจเป็นเรื้อรัง