อาการปวดในกระดูกขา ภาวะที่ไม่ควรละเลย เกิดจากอะไร มาดูกัน!
อาการปวดในกระดูกขา เรียกได้ว่าเป็นอาการที่หลาย ๆ คนกำลังเผชิญอยู่ แม้จะดูเป็นอาการที่มักจะเกิดขึ้นในกลุ่มผู้สูงอายุแต่ต้องบอกก่อนว่าภาวะนี้สามารถเกิดขึ้นในกลุ่มผู้ป่วยอายุน้อยได้เช่นกัน โดยส่วนใหญ่แล้วอาการปวดกระดูกขาเป็นภาวะอาการที่สามารถเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ เช่น อาจเป็นผลมาจากท่าทางของร่างกายที่ไม่เหมาะสม กล้ามเนื้อเคล็ดขัดยอก การใช้งานกล้ามเนื้อซ้ำ ๆ กระดูกหัก หรือข้อต่อโดนกระแทกจนข้อต่อหลุด เป็นต้น ทั้งนี้อาจรวมไปถึง ภาวะกระดูกอักเสบ ซึ่งเป็นภัยเงียบที่ทุก ๆ คนไม่ควรมองข้ามเด็ดขาด
อาการปวดในกระดูกขา เกิดจากอะไร เป็นสัญญาณอันตรายจากโรคร้ายแรงหรือเปล่า?
สำหรับใครที่กำลังประสบปัญหาปวดน่อง ปวดกระดูกขาตลอดวัน จนทำให้ไม่สามารถใช้ีวิตประจำวันได้ นั้นอาจจะเป็นสัญญาณเตือนบางอย่างจากร่างกายที่กำลังบอกว่าคุณกำลังเข้าข่ายเสี่ยงเป็นโรคอันตรายร้ายแรงที่ไม่ควรมองข้าม โดยต้องบอกก่อนว่า อาการปวดกระดูกช่วงขา (Leg Pain) นั้น คือ อาการปวดบริเวณขาที่เกิดขึ้นบางจุดหรือทั่วทั้งขา โดยอาจมีอาการชา ปวดแปลบ หรือปวดร้าวร่วมด้วย ซึ่งอาจเป็นผลจากโรคบางชนิด การบาดเจ็บ หรือการทำกิจกรรมที่ใช้ขามากเกินไป เช่น การเดินนาน ๆ หรือการออกกำลังกาย โดยการวินิจฉัยจากแพทย์จะช่วยให้ทราบถึงสาเหตุของอาการปวดขา เพื่อการรักษาและป้องกันที่ถูกต้อง
มาดูกัน “ปวดขา” เกิดจากอะไรได้บ้าง?
การบาดเจ็บ การใช้ขามากเกินไป กระดูกหัก กล้ามเนื้อหรือเส้นเอ็นฉีกขาด คือสาเหตุหลักของอาการปวดขา แต่เนื่องจากขามีโครงสร้างและเนื้อเยื่อจำนวนมาก อาการปวดขาจึงอาจเกิดขึ้นได้จากสาเหตุอื่นเช่นกัน ซึ่งอาจแบ่งเป็นกลุ่มได้ดังต่อไปนี้
- ปวดกล้ามเนื้อ มักเกิดจากการใช้กล้ามเนื้อมากเกินไป เช่น การเดินหรือยืนนาน ๆ การออกกำลังกายอย่างหนักหรือปวดกล้ามเนื้อจากการติดเชื้อในร่างกาย เป็นต้น
- ปวดข้อ อาจเกิดขึ้นจากการบาดเจ็บหรือโรคประจำตัว เช่น โรคข้ออักเสบ และโรคเก๊าท์
- เอ็นอักเสบ คือการอักเสบของเส้นเอ็น ซึ่งกระทบข้อต่อบริเวณใกล้เคียง โดยมักเกิดขึ้นที่เอ็นร้อยหวาย หรือกระดูกส้นเท้า
- การห้อเลือด การบาดเจ็บอาจทำให้มีเลือดออกภายในเนื้อเยื่อและข้อต่อ จึงทำให้เกิดอาการบวมและเจ็บปวดได้
- ตะคริว ตะคริวมีลักษณะเป็นก้อนแข็งใต้ผิวหนังและอาจมีอาการบวมแดงร่วมด้วย มักเกิดขึ้นเองโดยเฉียบพลัน โดยมีสาเหตุจากการขาดน้ำในร่างกาย กล้ามเนื้อตึงหรืออ่อนแรงจากการทำกิจกรรมต่าง ๆ เป็นเวลานานหรือหนักเกินไป
- การติดเชื้อในกระดูก การติดเชื้อในกระดูก (Osteomyelitis) มีสาเหตุมาจากเชื้อโรคหลายชนิด ได้แก่ เชื้อวัณโรค เชื้อสแตฟีย์โลค็อกคัสออเรียส (Staphylococcus aureus) และ เชื้อรา โดยผู้ป่วยส่วนใหญ่มักมีอาการปวดขาตลอดเวลา ร่วมกับมีไข้และหนาวสั่น ทั้งนี้สาเหตุของอาการปวดขาตอนกลางคืนมีหลายสาเหตุ ซึ่งทางที่จะทำให้มั่นใจว่าอาการปวดขาตอนกลางคืนของคุณมีสาเหตุมาจากอะไร จำเป็นต้องไปพบแพทย์เพื่อตรวจหาสาเหตุที่แท้จริงของอาการปวด
ซึ่งนี้เป็นสาเหตุของอาการปวดขาเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น หากมีอาการปวดแบบรุนแรงหรือเรื้อรังควรรีบเข้าพบแพทย์เพื่อหาสาเหตุที่แท้จริงอย่างละเอียดต่อไป
ทำความรู้จัก “โรคกระดูกอักเสบ” ภัยเงียบใกล้ตัว
คือ โรคที่เกิดจากกระดูกติดเชื้อโรค โดยทั่วไปมักเป็นจากเชื้อแบคทีเรีย แต่อาจพบจากติดเชื้อราได้ โรคกระดูกอักเสบ เกิดได้กับกระดูกทุกชิ้นของร่างกาย ที่พบบ่อย คือ กระดูกขา เท้า และกระดูกสันหลังโดยทั่วไปมักพบกระดูกอักเสบเพียงตำแหน่งเดียว แต่อาจพบหลายตำแหน่งพร้อมกันได้ นอกจากนี้ยังพบได้ในทุกอายุ ตั้งแต่เด็กแรกเกิดไปจนถึงผู้สูงอายุ และมีโอกาสเกิดเท่ากันทั้งในผู้หญิงและผู้ชาย
ลักษณะอาการ
อาการที่พบบ่อย ได้แก่ มีไข้หนาวสั่น ปวดบวมตามกระดูกที่อักเสบ เคลื่อนไหวกระดูกส่วนที่อักเสบได้น้อย อ่อนเพลีย เบื่ออาหารในกระดูกอักเสบเรื้อรังมักมีแผลและหนองไหล ต่อมน้ำเหลืองบริเวณใกล้เคียงกับกระดูกอักเสบเจ็บ โต คลำพบก้อน เป็นต้น
อย่างไรก็ตาม วิธีป้องกันที่ดีที่สุด คือ การรักษาความสะอาดของร่างกายและสิ่งของเครื่องใช้อยู่เสมอ คอยระวังอย่าให้มีดบาดหรือเกิดอุบัติเหตุจนมีแผล โดยเฉพาะผู้ป่วยที่มีโรคประจำตัวที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคกระดูกอักเสบ ทั้งนี้ผู้ที่มีอาการตามที่กล่าวมาข้างต้นหรือไม่แน่ใจในอาการ ควรรีบปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อทำการรักษาต่อไป
แนวทางการรักษาอาการปวดกระดูกขาจากการอักเสบ
การรักษาโรคกระดูกอักเสบ มี 2 วิธีหลัก ได้แก่…
1.การให้ยาฆ่าเชื้อที่มีคุณสมบัติตรงกับเชื้อที่ตรวจพบ
โดยให้ยาทางหลอดเลือดดำและรับประทานยาฆ่าเชื้อร่วมด้วย ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของแพทย์ที่จะประเมินจากชนิดของเชื้อ ความรุนแรงของอาการอักเสบ และสุขภาพทั่วไปของผู้ป่วย
2.การผ่าตัด
เช่น การผ่าตัดเพื่อปลูกกระดูกใหม่ การตัดขาหากเกิดกระดูกขาอักเสบรุนแรงมากและเรื้อรัง
อย่างไรก็ตาม ในช่วงที่ผู้ป่วยมีอาการปวดขา สามารถบรรเทาได้ด้วยการทำกายภาพบำบัดควบคู่ไปกับวิธีอื่น ๆ ซึ่งการกายภาพบำบัด สามารถช่วยลดการอักเสบ เพิ่มการไหลเวียนของเลือด ตลอดจนฟื้นฟูกล้ามเนื้อหรือเนื้อเยื่อที่บาดเจ็บและอักเสบให้ดีขึ้นได้ เพื่อให้ผู้ป่วยสามารถกลับมาใช้ชีวิตได้ตามปกติและใช้งานกล้ามเนื้อได้เต็มประสิทธิภาพ ดังนั้น ผู้ที่กำลังมีภาวะอาการควรรีบเข้าพบแพทย์เพื่อทำการวินิจฉัยและเข้ารับการรักษาที่เหมาะกับระดับอาการของตนเองและถูกจุดเพื่อให้ได้ผลการรักษาที่คาดหวังด้วย
แนวทางการรักษาอาการ “ปวดกล้ามเนื้อขา” ด้วยกายภาพบำบัด
กายภาพบําบัดกล้ามเนื้อขาอักเสบ สามารถรักษาด้วยเครื่องมือ กายภาพบำบัด ดังนี้…
- เครื่องกระตุ้นไฟฟ้า เป็นกระแสไฟฟ้าบำบัดเพื่อช่วยในการลดปวดโดยใช้กระแสไฟฟ้า ES ซึ่งช่วงกระแสไฟนี้ จะมีช่วงความถี่ต่ำที่สบายผิว และไม่ละคายเคือง เราจะเลือกใช้ให้เห็นผลถึงการคลายกล้ามเนื้อชั้นตื้นและกล้ามเนื้อชั้นลึก โดยผู้รักษาจะมีความรู้สึกสั่นสบายระหว่างการกระตุ้น และรู้สึกถึงการคลายในระดับกล้ามเนื้อชั้นลึกตรงจุดที่มีอาการปวดได้อย่างชัดเจนโดยไม่ทำให้รู้สึกเจ็บ
- เครื่องอัลตร้าซาวด์ เป็นเครื่องรักษาด้วยคลื่นเสียงความถี่สูง ที่ให้ผลความร้อนในลักษณะความร้อนลึกโดยปล่อยความร้อนลึดออกมาใต้ผิวหนังที่ 2-5 cm. ใช้ลดอาการปวด ลดการอักเสบของเนื้อเยื่อ เพิ่มความยืดหยุ่นของข้อต่อในชั้นลึก ลดอาการบวม และช่วยเร่งการซ่อมแซมเนื้อเยื่อ รวมทั้งคลายการเกร็งตัวของกล้ามเนื้อ
- การประคบเย็นลดการอักเสบของกล้ามเนื้อชั้นตื้น โดยการประคบนั้นช่วยให้เส้นเลือดหดตัว ทำให้เลือดออกน้อยลง ช่วยบรรเทาอาการปวด และลดบวมได้ดีอีกด้วย ซึ่งก็จะมีการใช้แตกต่างกันไป
ท้ายที่สุด เมื่อมีอาการปวดกระดูกขา ผู้ป่วยควรปฎิบัติตัวตามคำแนะนำของแพทย์หรือบุคลากรทางการแพทย์ที่ให้การบำบัดรักษาร่วมด้วย เช่น การรับประทานยา การปรับวิธีการทำงานในชีวิตประจำวันให้อยู่ในท่าทางที่เหมาะสม โดยเฉพาะในวันที่อาการปวดเป็นเฉียบพลัน หรือเป็นมากขึ้น ให้ประคบเย็นเพื่อลดอาการบวมและอักเสบ งดใช้งานกล้ามเนื้อ กระดูก และข้อต่อที่ได้รับบาดเจ็บ ต่อมาเมื่ออาการปวดเริ่มทุเลาให้เปลี่ยนเป็นประคบอุ่นและค่อยๆยืดเหยียด และออกกำลังกายเพิ่มความแข็งแรงของส่วนที่ปวดไปที่ละน้อยๆทุกวัน โดยทำในแบบที่ไม่ทำให้เกิดการปวดเพิ่มขึ้น
——————————–
ข้อควรระวัง: เนื้อหาในบทความ วีดีโอ ข้อความคิดเห็น มีจุดประสงค์เพื่อให้ความรู้ และสาธิตให้ดูเป็นตัวอย่างเท่านั้น ไม่ได้มีความตั้งใจจัดทำขึ้นเพื่อทดแทนการเข้ารับการตรวจ วิเคราะห์ และการวางแผนการรักษาของผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์ ผู้เข้าชมไม่ควรวินิจฉัย หรือ คาดเดาโรคด้วยตัวเองจากการอ่านบทความ ข้อคิดเห็น หรือ ดูวีดีโอ นี้ คนไข้ควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์ของตนเองเพื่อทราบสาเหตุที่แท้จริงของอาการปวด และเพื่อหลีกเลี่ยงการปวดที่อาจเกิดเพิ่มมากขึ้นในภายหลัง
บทความที่น่าสนใจ
- ปวดกล้ามเนื้อหลัง (Myofascial Pain Syndrome)
- “โรครองช้ำ” คืออะไร อันตรายมากแค่ไหน?
- “เทปบำบัด” หนึ่งเทคนิคลดอาการปวดที่นักกีฬาควรรู้