ออฟฟิศซินโดรม มึนหัว เกิดจากอะไร รักษาหายได้หรือไม่?
ออฟฟิศซินโดรม มึนหัว เกิดจากอะไรกันแน่? หลาย ๆ คนคงทราบกันดีว่า ออฟฟิศซินโดรม นั้นเป็นภาวะอาการที่มักจะมีความปวดอยู่ที่ 3 จุดเด่นหลัก ๆ นั่นคือ คอ บ่า และหัวไหล่ นั่นจึงทำให้หลาย ๆ คนสับสนว่า ทำไมบางครั้งเราจึงเกิดอาการมึนหัวด้วย ทั้ง ๆ ที่โรคนี้ไม่ได้มีอาการแสดงที่บริเวณศีรษะ หรือจริง ๆ แล้วมีความเกี่ยวเนื่องกัน ในบทความนี้เราจึงจะมาทำความเข้าใจกันว่า อาการมึนหัวที่เกิดขึ้นจากออฟฟิศซินโดรมเป็นผลมาจากอะไร และรักษาอย่างไรกันแน่?
ออฟฟิศซินโดรม มึนหัว เกิดจากอะไร มีวิธีรักษาอย่างไรบ้าง?
ยุคสมัยนี้ โรคออฟฟิศซินโดรม (office syndrome) ดูจะเป็นโรคที่คนยุคใหม่เป็นกันมากพอสมควร ด้วยพฤติกรรมการทำงานและการใช้ชีวิตที่เปลี่ยนไป เราไม่ค่อยเน้นการยืน เดิน เคลื่อนไหว หรือออกแรงเหมือนแต่ก่อน กลายเป็นการนั่งหน้าคอมพิวเตอร์ หรือก้มดูมือถือนาน ๆ แทน ดังนั้นจึงไม่แปลกอะไรที่ออฟฟิศซินโดรมจะกลายเป็นโรคยอดนิยมสำหรับคนในยุคปัจจุบัน อย่างไรก็ดี ตามที่ได้กล่าวไว้ข้างต้นว่าโรคนี้แสดงภาวะอาการออกทาง 3 จุดสำคัญคือ คอ บ่า ไหล่ แต่ในบางกรณีก็มีผู้ที่มีอาการมึนหัวร่วมด้วย ดังนั้น เราจึงจะมาทำความเข้าใจกันว่า การมึนหัว เช่นนี้ เกิดมาจากอะไร และอันตรายมากน้อยแค่ไหนต่อร่างกายของเรา
อาการ “มึนหัว” จากออฟฟิศซินโดรม เกิดจาก…
กลุ่มอาการ ออฟฟิศซินโดรม (Office syndrome) คือกลุ่มอาการปวดกล้ามเนื้อหรือพังผืด มักเกิดบริเวณคอ หรือบ่าในรายที่เป็นหนัก อาจทำให้มีอาการ มึนหรือปวดร้าวศีรษะ หรือชาลงแขน จนทำให้สับสนกับอาการปวดหัวด้วยสาเหตุอื่นได้ โดยสาเหตุเสี่ยงที่ทำให้เกิดออฟฟิศซินโดรมขึ้นได้ก็มาจากพฤติกรรมง่าย ๆ เช่น การนั่งผิดท่า นั่งนาน ๆ ไม่ได้ขยับมาก เป็นต้น
การ “มึนหัว” เช่นนี้สามารถเป็นอาการเรื้อรังได้หรือไม่?
อาการนี้เป็นกันมากขึ้นเรื่อย ๆ จนเป็นเรื่องธรรมดาที่เกิดกับผู้ป่วยในทุก ๆ วันที่ทำงาน โดยส่วนมากจะเกิดจากการถูกกระตุ้นให้อาการกำเริบ เช่น จากความร้อน จากแสงแดดจ้า จากกลิ่นบุหรี่และเริ่มเกิดความเครียดจากการทำงานด้วย ซึ่งผู้ป่วยสามารถรู้ตัวได้โดยการที่สังเกตได้ว่าตนเองเริ่มที่จะปวดขมับด้านหน้าของศีรษะและลามมาที่หลังต้นคอคาดว่าอาการมึนหัว ปวดตึง ๆ เริ่มกำเริบแล้วนั่นเอง ซึ่งจากที่กล่าวไปว่าอาการนี้จะเกิดขึ้นเรื่อย ๆ ดังนั้นการที่จะเกิดอาการเรื้อรังจึงเป็นไปได้สูงมาก
แนวทางบรรเทาอาการเบื้องต้น
การดูแลสุขภาพที่นอกจากการทานยาเพื่อระงับอาการปวดแล้ว การพักผ่อนอย่างเพียงพอ หลีกเลี่ยงการออกกลางแดดจัด และตรวจสภาพของร่างกายเพื่อดูสมดุลของฮอร์โมนก็น่าจะช่วยให้ดีขึ้นได้ ทั้งนี้หากผู้ป่วยลองทำตามคำแนะนำแล้วไม่ดีขึ้น ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อไปตรวจเช็กอาการให้ทราบอย่างแน่ชัดว่า ควรรักษาอย่างไร?
วิธีการรักษาทางการแพทย์
แบ่งออกหลัก ๆ ได้เป็น 2 ทาง คือ
1. รักษาด้วยการทานยา
โดยปกติผู้ป่วยจะได้รับคำแนะนำจากแพทย์ให้รับประทานยาตามอาการ โดยจะเริ่มต้นที่ยาคลายกล้ามเนื้อ เช่น ออร์เฟเนดรีน (Orphenadrine), โทลเพอริโซน (Tolperisone) เป็นต้น และมียาอีก 2 ชนิดคือ ยาลดการอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ และ ยาแก้ปวดที่ไม่มีฤทธิ์ต้านการอักเสบ (จำพวก พาราเซตามอล) โดยยาแต่ละตัวจะมีวิธีการรับประทานที่แตกต่างกัน รวมถึงผลข้างเคียงต่าง ๆ ด้วย ดังนั้นคนไข้ต้องเข้ารับคำแนะนำในการใช้ยาจากแพทย์อย่างละเอียดเพื่อไม่ให้เกิดผลร้ายขึ้นต่อร่างกาย
2. กายภาพบำบัด
สำหรับหลักการใช้เครื่องมือทางกายภาพบำบัดกับผู้ที่มีอาการปวดศีรษะร่วมกับอาการปวดคอ จะเป็นไปเพื่อช่วยลดอาการเกร็งของกล้ามเนื้อต้นคอ เพราะโดยปกติผู้ที่ปวดศีรษะบ่อย ๆ จะมีอาการปวดต้นคอทั้ง 2 ข้างร่วมด้วย โดยเครื่องมือทางกายภาพบำบัดส่วนใหญ่จะเป็นเครื่องมือที่ให้ความร้อน เช่น การประคบแผ่นร้อน การนวดด้วยคลื่นอัลตราซาวด์ และการนวดด้วยมือตามตำแหน่งที่มีการเกร็งของกล้ามเนื้อ และเมื่อกล้ามเนื้อบริเวณต้นคอมีการคลายตัวจะส่งผลให้เลือดที่ไปเลี้ยงสมองไหลเวียนได้ดีขึ้น จึงเป็นการช่วยบรรเทาอาการปวดคอ และผลพลอยได้ที่จะตามมาคืออาจทำให้อาการปวดศีรษะบรรเทาลง แต่ทั้งนี้ผลที่ได้จะขึ้นกับโรคของผู้ป่วยเป็นสำคัญ
ท้ายที่สุด แม้อาการนี้เป็นอาการที่ไม่ได้เสี่ยงถึงชีวิต แต่ก็สร้างความรำคาญและสามารถลุกลามไปยังกล้ามเนื้อหรือกระดูกส่วนอื่น ๆ ได้ เรียกได้ว่า ยิ่งเป็นแล้วปล่อยไว้ จะยิ่งทรมาน ส่งผลกระทบต่อการทำงาน การใช้ชีวิต รวมถึงสภาพจิตใจได้มาก แนวทางการรักษาออฟฟิศซินโดรม สามารถเริ่มได้ที่ตัวเราเอง ด้วยการปรับพฤติกรรมตัวเองเสียใหม่ ลดพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม พยายามพักผ่อน ยืดเหยียดบริหารกล้ามเนื้อบ้าง และจัดสภาพแวดล้อมให้เหมาะสมกับการทำงาน เสาะหาวิธีลดความเครียดหรือลดการทำงานหนัก ซึ่งจะเป็นแนวทางการป้องกันที่ยั่งยืนที่สุด
———————–
ข้อควรระวัง: เนื้อหาในบทความ วิดีโอ ข้อความคิดเห็น มีจุดประสงค์เพื่อให้ความรู้ และสาธิตให้ดูเป็นตัวอย่างเท่านั้น ไม่ได้มีความตั้งใจจัดทำขึ้นเพื่อทดแทนการเข้ารับการตรวจ วิเคราะห์ และการวางแผนการรักษาของผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์ ผู้เข้าชมไม่ควรวินิจฉัย หรือ คาดเดาโรคด้วยตัวเองจากการอ่านบทความ ข้อคิดเห็น หรือ ดูวิดีโอ นี้ คนไข้ควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์ของตนเองเพื่อทราบสาเหตุที่แท้จริงของอาการปวด และเพื่อหลีกเลี่ยงการปวดที่อาจเกิดเพิ่มมากขึ้นในภายหลัง
บทความที่น่าสนใจ
- ปวดหัวตุ้บ ๆ ข้างขวา อาการแบบนี้เป็นไมเกรนหรือเปล่า?
- โรคหลอดเลือดสมอง: สัญญาณอันตรายของอัมพาต
- นั่งนานปวดเอว หากไม่รีบแก้อาจเป็นเรื้อรัง