6 ข้อควรระวังในการทํากายภาพบําบัด ที่ผู้เข้ารับการรักษาควรรู้
ข้อควรระวังในการทํากายภาพบําบัด ที่ควรรู้มีอะไรบ้าง? หลายคนอาจกำลังสงสัยว่าทำไมในการรักษาด้วยการทำกายภาพบำบัดที่ขึ้นชื่อว่าเป็นการฟื้นฟูที่มีความปลอดภัย ไร้ความเสี่ยง ทำไมต้องศึกษาข้อควรระวังไว้ก่อนด้วย ซึ่งต้องบอกก่อนว่า การทำกายภาพบำบัดไม่ใช่เพียงแค่การออกกำลังกายหรือการรักษาเพียงเท่านั้น แต่ยังต้องมีความระมัดระวังในหลายด้าน เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดผลข้างเคียงหรืออาการแทรกซ้อนที่อาจทำให้สถานการณ์แย่ลงได้ ในบทความนี้ เราจะมารู้จักกับ 6 ข้อควรระวังในการทำกายภาพบำบัดที่ผู้เข้ารับการรักษาควรรู้ เพื่อให้การรักษามีประสิทธิภาพและปลอดภัยที่สุด
ข้อควรระวังในการทํากายภาพบําบัด ที่ผู้สนใจเข้ารับการรักษาต้องรู้ก่อนตัดสินใจ มีอะไรบ้าง?
จากที่ได้กล่าวไปว่า การทำกายภาพบำบัด เป็นทางเลือกที่หลายคนเลือกใช้ในการรักษาหรือฟื้นฟูร่างกายจากอาการเจ็บป่วยหรือบาดเจ็บต่าง ๆ แต่การตัดสินใจเข้ารับการทำกายภาพบำบัดไม่ใช่เรื่องที่ควรมองข้าม เพราะมีหลายปัจจัยที่ควรพิจารณาก่อน เช่น ความเหมาะสมของการรักษากับสภาพร่างกาย ผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้น และการเลือกผู้เชี่ยวชาญที่มีความชำนาญในสาขานี้ ในบทความนี้ Newton Em Clinic จะพาผู้สนใจเข้ารับการรักษามาทำความรู้จักกับข้อควรระวังต่าง ๆ ที่จะช่วยให้คุณตัดสินใจได้อย่างมั่นใจและปลอดภัยมากยิ่งขึ้น
กายภาพบำบัดคืออะไร?
การทำกายภาพ หรือภาษาอังกฤษเรียกว่า Physical therapy เป็นวิธีทำกายบริหารต่างๆ เพื่อการฟื้นฟูและช่วยเสริมความสามารถในการใช้ร่างกายและการเคลื่อนไหวให้ดีมากขึ้น โดยมีเทคนิคในการทำกายภาพหลายประเภท เช่น การดึง การนวด การประคบ และการทำกายบริหารง่ายๆ เป็นต้น ซึ่งผู้ที่จะเข้ารับการทำกายภาพจะถูกใช้วิธีที่แตกต่างกันออกไป
วิธีการทำกายภาพบำบัดมีกี่แบบ และมีแบบไหนบ้าง
จากที่กล่าวไว้ข้างต้นว่า การทำกายภาพ นั้นมีหลายเทคนิคและหลายวิธี มีหลายเครื่องมือและหลายตัวช่วยที่ใช้ในการรักษา ตั้งแต่แบบทั่วไป เช่น แผ่นประคบร้อน-เย็น ที่คนทั่วไปสามารถหาซื้อได้เองจนกระทั่งการใช้เทคนิคไฟฟ้าและเลเซอร์รักษา โดยเครื่องมือดังกล่าวก็จะถูกใช้ในทางที่แตกต่างกันออกไป ซึ่งประเภทในการทำกายภาพก็เช่นกันที่ถูกแบ่งออกเป็นหลายแบบ ดังนี้
- กายภาพสำหรับระบบกระดูกและกล้ามเนื้อ
- กายภาพสำหรับระบบประสาท
- กายภาพสำหรับการกีฬา
- กายภาพสำหรับระบบทรวงอกหลอดเลือดและหัวใจ
- กายภาพสำหรับด้านอื่นๆ
ทั้งนี้ การทำกายภาพบำบัดแต่ละแบบจะได้รับการเลือกใช้ตามความเหมาะสมของสภาพร่างกายและอาการที่แต่ละบุคคลประสบอยู่ ซึ่งการผสมผสานหลายเทคนิคเข้าด้วยกันก็สามารถช่วยให้การฟื้นฟูมีประสิทธิภาพมากขึ้น
ใครบ้างที่เหมาะสำหรับการทำกายภาพบำบัด
แม้จะเป็นการทำกายบริหารที่หลายๆ คนมองว่าไว้ใช้รักษาผู้ป่วยติดเตียงและผู้สูงอายุเท่านั้น แต่ทุกคนทราบหรือไม่ว่านอกจากบุคคลที่ถูกกล่าวมา มีผู้คนอีกหลายประเภทมากๆ ที่สามารถทำกายภาพได้ ไม่เพียงแต่ผู้ป่วยหรือผู้สูงวัยเท่านั้น แต่รวมไปถึงผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับกล้ามเนื้อ ข้อ เอ็น กระดูก การเคลื่อนไหวหรือขยับตัวต่างๆ ให้กลับมาเป็นปกติหรือสามารถใช้ชีวิตได้อย่างดีขึ้น โดยการทำกายภาพนั้นมักจะเหมาะกับผู้ที่ประสบปัญหาอื่นๆดังต่อไปนี้ด้วย เช่น
- ผู้ป่วยเด็กที่ต้องมีพัฒนาการสมองช้า หรือป่วยเป็นโรคทางพันธุกรรม
- นักกีฬา (ก่อน-หลังแข่ง รวมถึงกรณีที่ได้รับบาดเจ็บจากการแข่ง)
- หญิงหลังคลอด
- บุคคลผู้ประสบอุบัติเหตุและผู้ใช้แขน-ขาเทียม
- บุคคลทั่วไป ที่มีปัญหาเกี่ยวกับ กล้ามเนื้อ ข้อ เอ็น กระดูก, ระบบประสาท และระบบหายใจและปอด
ซึ่งบุคคลในแต่ละแบบที่กล่าวมานั้นก็สามารถเลือกแบบรักษาที่เหมาะสมกับตนเองได้หรือหากไม่แน่ใจก็สามารถขอคำแนะนำจากแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญตามคลินิคกายภาพทั่วไปได้เช่นกัน เพื่อการรักษาที่ถูกต้องนั่นเอง
6 ข้อควรรู้และข้อระวังที่ผู้เข้ารับการรักษา
แม้จะเป็นแนวทางการฟื้นฟูร่างกายที่ไม่ต้องเสี่ยงมาก แต่แท้จริงแล้วการทำกายภาพบำบัดนั้นก็มีข้อควรระวังอยู่พอควร ซึ่งประกอบด้วย…
1.ปรึกษาแพทย์ก่อนทำการบำบัด
ก่อนเริ่มการทำกายภาพบำบัด ควรปรึกษากับแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญด้านกายภาพบำบัดเพื่อประเมินสภาพร่างกายและวิเคราะห์ปัญหาที่เกิดขึ้นอย่างละเอียด การปรึกษาแพทย์จะช่วยให้สามารถวางแผนการรักษาที่เหมาะสมและปลอดภัยสำหรับคุณ โดยการประเมินนี้จะพิจารณาจากอาการที่มีอยู่, การเคลื่อนไหวของร่างกาย, และประวัติสุขภาพโดยรวม เพื่อให้การบำบัดมีประสิทธิภาพสูงสุดและลดความเสี่ยงจากการบำบัดที่ไม่เหมาะสม
2.หลีกเลี่ยงการทำบำบัดในขณะมีอาการบาดเจ็บรุนแรง
หากมีอาการบาดเจ็บหรืออาการปวดที่รุนแรง เช่น กระดูกหัก, การอักเสบของเนื้อเยื่อ, หรืออาการที่ส่งผลกระทบต่อความสามารถในการเคลื่อนไหว ควรหลีกเลี่ยงการทำกายภาพบำบัดจนกว่าจะได้รับการรักษาเบื้องต้นจากแพทย์ เพื่อป้องกันไม่ให้การบำบัดกระตุ้นอาการบาดเจ็บหรือทำให้อาการแย่ลง การบำบัดในช่วงที่มีอาการบาดเจ็บรุนแรงอาจทำให้เกิดผลข้างเคียงที่ไม่พึงประสงค์ เช่น การเพิ่มอาการปวดหรือทำให้กระดูกหรือเนื้อเยื่อที่ได้รับบาดเจ็บฟื้นตัวช้าลง
3.การปรับระดับความเข้มข้นของการบำบัด
การทำกายภาพบำบัดควรเริ่มต้นจากระดับความเข้มข้นที่เหมาะสมกับสภาพร่างกายและความสามารถของแต่ละบุคคล เพื่อไม่ให้เกิดการบาดเจ็บเพิ่มเติมในระหว่างการรักษา การปรับระดับความเข้มข้นสามารถทำได้โดยการประเมินอาการและความรู้สึกของผู้ป่วยในระหว่างการบำบัด แพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญจะคอยตรวจสอบและปรับการบำบัดให้เหมาะสมอย่างต่อเนื่องเพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีการบังคับให้ร่างกายทำงานเกินขีดจำกัดของตัวเอง
4.ระมัดระวังในผู้ที่มีโรคประจำตัว
ผู้ที่มีโรคประจำตัว เช่น โรคหัวใจ, เบาหวาน, หรือโรคที่เกี่ยวข้องกับระบบประสาท ควรแจ้งให้ผู้เชี่ยวชาญทราบก่อนทำการบำบัด เพื่อให้ผู้ให้การบำบัดสามารถปรับแผนการรักษาให้เหมาะสมกับสภาพร่างกายและความต้องการเฉพาะของผู้ป่วย โรคเหล่านี้อาจส่งผลต่อการฟื้นตัวจากการบำบัด และอาจมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นหากไม่ได้รับการดูแลอย่างถูกต้องในระหว่างการบำบัด
5.สังเกตอาการข้างเคียง
ในระหว่างหรือหลังการทำกายภาพบำบัด หากพบว่าอาการแทรกซ้อนเกิดขึ้น เช่น ความรู้สึกปวดมากขึ้น หรือรู้สึกไม่สบายในส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกาย ควรแจ้งผู้ให้การบำบัดทันที การสังเกตอาการข้างเคียงหลังจากการบำบัดเป็นสิ่งสำคัญเพื่อให้สามารถดำเนินการรักษาต่อได้อย่างทันท่วงที โดยการสื่อสารกับผู้เชี่ยวชาญจะช่วยให้การบำบัดสามารถปรับเปลี่ยนไปในทิศทางที่ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพมากขึ้น
6.การบำบัดที่ไม่เหมาะสม
การทำกายภาพบำบัดที่ไม่เหมาะสมกับปัญหาหรือการบาดเจ็บของแต่ละบุคคลอาจทำให้เกิดผลเสียหายได้ เช่น การใช้ท่าทางหรือวิธีการที่ทำให้เกิดการบาดเจ็บซ้ำ หากไม่มั่นใจว่าการบำบัดที่ทำอยู่นั้นเหมาะสม ควรขอคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญเพื่อเลือกวิธีการที่เหมาะสมกับลักษณะการบาดเจ็บหรือปัญหาสุขภาพที่พบ โดยหลีกเลี่ยงการทำท่าทางหรือการฝึกที่อาจเสี่ยงต่อการบาดเจ็บซ้ำซ้อน
การทำกายภาพบำบัดควรทำภายใต้การดูแลของผู้เชี่ยวชาญและในสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัยเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดและป้องกันการบาดเจ็บจากการรักษา
สรุปข้อควรรู้เกี่ยวกับ ข้อระมัดระวังในการทำกายภาพบำบัด
การทำกายภาพบำบัดเป็นวิธีการที่มีประโยชน์ในการรักษาหรือฟื้นฟูสภาพร่างกาย แต่การเลือกทำกายภาพบำบัดควรพิจารณาอย่างรอบคอบ โดยการปรึกษาผู้เชี่ยวชาญเพื่อประเมินสภาพของร่างกายและความเหมาะสมในการรักษา เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาหรือผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้น หากมีข้อสงสัยใดๆ ควรสอบถามและขอคำแนะนำจากแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญก่อนตัดสินใจเลือกวิธีการรักษาที่ดีที่สุดสำหรับตัวเองด้วย
——————————–
ข้อควรระวัง: เนื้อหาในบทความ วีดีโอ ข้อความคิดเห็น มีจุดประสงค์เพื่อให้ความรู้ และสาธิตให้ดูเป็นตัวอย่างเท่านั้น ไม่ได้มีความตั้งใจจัดทำขึ้นเพื่อทดแทนการเข้ารับการตรวจ วิเคราะห์ และการวางแผนการรักษาของผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์ ผู้เข้าชมไม่ควรวินิจฉัย หรือ คาดเดาโรคด้วยตัวเองจากการอ่านบทความ ข้อคิดเห็น หรือ ดูวีดีโอ นี้ คนไข้ควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์ของตนเองเพื่อทราบสาเหตุที่แท้จริงของอาการปวด และเพื่อหลีกเลี่ยงการปวดที่อาจเกิดเพิ่มมากขึ้นในภายหลัง
บทความที่น่าสนใจ
- นั่งนาน ปวดหลัง แก้ได้ไม่ยาก
- ปวดกล้ามเนื้อหลัง (Myofascial Pain Syndrome)
- ปวดหัว มึนหัว ปวดกระบอกตา คล้ายไมเกรน